วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทริปกาญจนบุรี (ทองผาภูมิ สังขละบุรี)

  ทองผาภูมิ สังขละบุรี

         ทิวาวานผ่านไปไวเหมือนฝัน   แต่บางวันเนิ่นนานปานอะสงไข
     สุขฤๅทุกข์ล้วนกำเนิดเกิดที่ใจ      ปล่อยวางได้จึ่งวิมุติหลุดร้อนรน..

      อีกไม่นาน..ปีเก่าก็จะผ่านพ้นไป ปีใหม่ย่างเข้ามาแทน แม้ปีนี้ความหนาวเย็นแห่งเหมันต์ฤดูจะมาเยือนช้าไป ..ต้นเดือนธันวาคมแล้ว ลมหนาวก็ยังไม่พัดผ่าน แม้จะยังไม่หนาวสักเท่าไร  แต่ยังงัยปีนี้ก็จะขอเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องแอร์ ออกไปกางเต้นท์นอนนับดาวสักคราวก่อนสิ้นปี..

    ทริปนี้ นายMKจะพาเพื่อนๆไปสัมผัสบรรยากาศเย็นสบายๆ ที่เมืองกาญจฯ แถวสังขละบุรี  เชื่อว่าหลายคนที่เคยไปมาแล้ว ยังคงความประทับใจในมนต์เสน่ห์และวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นอย่างไม่เสื่อมคลาย..

   
  
                     ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     

       ออกเดินทางจากชลบุรีประมาณตีห้ากว่าๆ กะว่าจะไปให้ถึงตัวเมืองกาญจนบุรีสักแปดโมงเช้า แต่พลขับ(ข้าพเเจ้าเอง) ดันพาคณะทัวร์หลงวนอยู่บนทางด่วนหาทางลงไม่เจอ..(ไม่มีGPS นำทางอ่ะ) กว่าจะหลุดทางด่วนลงมาได้ก็จวนเจ็ดโมงครึ่ง  จากประสบการณ์เฟอะฟะที่ไม่ได้วางแผนเดินทางล่วงหน้านี้ ก็เลยถือโอกาสแนะนำเส้นทางจากชลบุรี กาญจนบุรี ถึงสังขละบุรีใว้ในตอนท้ายทริป ..




 น้ำตกไทรโยคน้อย


       ออกจากตัวเมืองกาญจนบุรีมาประมาณ50กิโลเมตร จะพบป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยว "น้ำตกไทรโยคน้อย"  อยู่ติดกับถนนพอดี ถ้าใครจะไปทองผาภูมิหรือสังขละบุรีแนะนำให้ลองแวะชมที่ก่อนนะครับ เพราะอยู่ติดทางหลวงหมายเลข323 ใช้เวลาแวะไม่นานนัก..
      น้ำตกไทรโยคน้อย เดิมเรียกว่า น้ำตกเขาพัง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จประพาทบริเวณน้ำตกไทรโยคน้อย



        ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2ระหว่างปี พ.ศ. 2484-2488 กองทัพญี่ปุ่นได้ก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะจากกาญจนบุรีผ่านน้ำตกไทรโยคน้อย เข้าสู่ประเทศพม่า และในปีพ.ศ.2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จประพาทโดยทางรถไฟมายังน้ำตกแห่งนี้  ปัจจุบันน้ำตกไทรโยคน้อยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี



         เดินแวะชมน้ำตก เก็บภาพบรรยายกาศผู้คน ถ่ายรูปกับทางรถไฟสายมรณะ ไม่นานจึงเดินทางกันต่อ..   (ช่วงนี้น้ำไม่ค่อยมี น้ำตกจึงดูไม่สวยสักเท่าไหร่ เลยไม่ได้เอารูปมาลงให้ดูครับ)

         
                    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



 น้ำพุร้อนหินดาด
         หลังจากแวะชมบรรยากาศบริเวณน้ำตกไทรโยกน้อยกันแล้ว ก็ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่อ.ทองผาภูมิ ขับมาตามทางหลวงหมายเลข 323 ประมาณ 70 กิโลเมตร พบสถานที่ท่องเที่ยวหน้า
สนใจอีกแห่ง นั่นคือ น้ำพุร้อนหินดาด เลยตีไฟเลี้ยวขวาเข้าไป ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่มากนัก




        
          น้ำพุร้อนหินดาด  เดิมเรียกว่าน้ำพุร้อนกุยมั่ง บังเอิญถูกค้นพบโดยทหารญี่ปุ่นที่เกณฑ์เชลยศึกให้สร้างทางรถไฟสายมรณะในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เชื่อกันว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้หลายอย่าง เช่นโรคเหน็บชา โรคไขข้ออับเสบ ซึ่งมีนักท่องเทียวเดินทางมาเที่ยวชมและอาบน้ำแร่กันเป็นจำนวนมาก


 
        วันนี้ก็เช่นกัน มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่งมาอาบน้ำแร่กันหนาตาเลยทีเดียว หากจะลงไปอาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อนต้องเสียค่าธรรมเนียม 10บาท/คน ซึ่งนับว่าไม่แพงเลยครับ..


   
          สายน้ำแร่ใสสะอาดจนมองเห็นพื้นหินข้างล่าง ..ผู้คนต่างกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นน้ำ บ้างก็ลงแช่ทั้งตัว ที่กล้าๆกลัวๆก็แช่เพียงแค่ขา (คงกลัวเปียกอ่ะครับ..)


    
          ลูกสาวใครหนอ..?
                 " สองนางแบบตัวน้อยคอยมองหา   คุณแม่จ๋าอยู่ไหนนู๋ใจหาย
                มีคนแอบมองหนูอยู่มากมาย          กลัวสายตาพวกผู้ชายจะอ่านกิน.."  

        ว่าเป็นกลอนไปโน่น..  ไม่รู้ลูกสาวใคร ขอยืมมาเป็นนางแบบหน่อยแล้วกันครับ..


                      ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++             
   
  น้ำตกเกริงกระเวีย
        ออกจาก น้ำพุร้อนหินดาด มาเกือบ30 กิโลเมตรก็เข้าสู่เขต อ.สังขละบุรี พบน้ำตกอีกแห่งที่น่าสนใจอยู่ติดถนน 323 ทางผ่านเหมือนกัน "น้ำตกเกริงกระเวีย" นั่นเอง เลยถือโอกาสแวะพักและงีบหลับเอาแรงสักตื่น เพราะออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย    (ถือคติ ง่วงไม่ขับ เดี่ยวหลับไม่ตื่นอ่ะครับ..)


 

   
          ระหว่างแวะพักเลยถือโอกาสเก็บภาพ น้ำตกเกริงกระเวีย มาฝากเพื่อนๆด้วย แม้จะดูไม่อลังการ แต่บรรยากาศรอบๆน้ำตกก็ดูร่มรื่น น่าทัศนาและเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนัก..

   

  
        มองไปเห็นมีเด็กๆเล่นน้ำอยู่สองสามคน เลยลองระเบิดซูมดู ก็ได้ภาพที่แปลกตาไปอีกแบบ..


                       +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ป้อมปี่ (อุทยานแห่งชาติเขาแหลม )

 
       ด้วยว่าทริปนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เลยจองห้องพักไม่ทัน เพราะโทรเช็คที่สังขละบุรีห้องพักและรีสอร์ทเต็มหมดแล้ว คืนนี้ก็เลยต้องนอนตากลมชมดาวกัน..

      จุดหมายที่เราจะนอนปักหลักพักค้างแรมกันคืนนี้ก็คือ  "ป้อมปี่" ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม (มีบางคนในกลุ่มทะลึ่งเปลี่ยนชื่อให้เขาใหม่เป็น เป่าปี่ ,เล่าปี่ และที่แย่สุดคือ ป้อมปิ๊.. เสียหายเขาหมดเลยอ่ะ )  ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากน้ำตกเกรียงกระเวีย มากนัก ประมาณ10กิโลเมตร..

   
        สำหรับค่าผ่านด่านเข้าในเขตอุทยานฯ ป้อมปี่ รวมค่าที่พักกางเต็นท์ ตกคนละ30 บาท เจ้าหน้าที่ที่นี่ให้คำแนะนำและมีน้ำใจต่อนักท่องเที่ยวค่อนข้างดี จากการสอบถามทราบว่าข้างในมีร้านค้า ขายอาหารให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำแยกชายหญิงสะดวกสบายพอสมควรครับ..
       


      แม้ลานจอดรถจะอยู่ไกลจากจุดกางเต๊นท์พอสมควร (ห้ามเอารถเข้าไปที่จุดกางเต๊นท์ ) แต่ที่นี่ก็มีรถเข็นใว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวหลายคัน เพื่อใช้ขนสัมภาระ(Self service..ไม่คิดค่าบริการ )



       จุดชมวิวป้อมปี่ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพักหลังจากได้ไปเที่ยวชม อ.สังขละ เนื่องจากสถานที่เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างมาก ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกดินในได้อย่างสวยงามในยามเย็น อีกทั้งผู้คนที่ได้ไปพักนิยมลงไปเล่นน้ำในบริเวณตีนเขา เนื่องจากมีบริการเรือแคนนู และห่วงชูชีพ อีกทั้งมีบริการที่พัก ร้านอาหาร จึงทำให้ผู้คนหลั่งไหลมาพักที่นี่ค่อนข้างมาก ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ..

    
         บรรยากาศริมน้ำ ณ จุดชมวิวป้อมปี่ ในยามเย็น มีนักท่องเที่ยวมารอดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า บ้างก็ลงเล่นน้ำใกล้ๆบริเวณจุดชมวิว..




         ยิ่งดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า บรรยากาศที่จุดชมวิวป้อมปี่ ยิ่งดูมีเสน่ห์ แทบไม่อยากละสายตา แสงสีทองที่สะท้อนบนผิวน้ำดูลึกลับ สวยงามน่าค้นหาและชวนมอง..



          ภาพนี้ชวนให้นึกถึงกาพย์ยานี11สมัยเรียน..

                " รอนรอนอ่อนอัสดง
             พระสุริยงเย็นยอแสง
            ช่วงดังน้ำครั่งแดง
            แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร "


    
   
       ดวงอาทิตย์อัสดง.. กำลังสั่งลาผืนป่าและท้องธารา ส่องแสงสีแดงเรื่อ อ้อยอิ่งลูบไล้แผ่นน้ำ และขุนเขาอย่างแผ่วเบา ราวปลอบประโลมคนรักก่อนจากลา..


                      +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สะพานมอญ สังขละบุรี

         ค่ำคืนที่เงียบสงบและเย็นสบายล่วงไป ณ ป้อมปี่   ผ่านพ้นราตรีเข้าสู่วันใหม่..  วันนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีกแล้ว เพราะตั้งใจจะไปให้ทันใส่บาตรที่สะพานมอญ อ.สังขละบุรี ซึ่งระยะทางจากป้อมปี่ถึงสังขละบุรีประมาณ30กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง เพราะเส้นทางค่อนข้างลาดชันและคดเคี้ยวพอสมควร..

       เราออกจากป้อมปี่ราวๆตี 5 มาถึงสะพานมอญเกือบ6โมงเช้า วันนี้หมอกลงหนาเป็นพิเศษยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองสังขละบุรี - สะพานมอญ ยิ่งต้องชะลอความเร็วลงและจอดแวะข้างทาง เพราะมองไม่เห็นทางข้างหน้า..
 

       “สะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์” ถือว่าเป็นสะพานไม้ ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างเมื่อปี 2527 ซึ่งถือได้ว่าเป็นสะพานที่เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของชาวไทยและชาวมอญ เลยทีเดียว..      สะพานแห่งนี้ นอกจากจะเป็นเครื่องหมายแห่งพลังศรัทธาแล้ว ยังเป็นเส้นทางในการไปมาหาสู่ระหว่างทั้งสองฝั่ง ทั้งทำมาค้าขาย  แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ซึ่งก้อเป็นวิถีชีวิตที่คงจะคุ้นตาสำหรับนักท่องเที่ยวหลายๆ คนที่เคยมาเยือนที่แห่งนี้



     สะพานนี้มีชื่อเป็นทางการว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ รถยนต์ข้ามไม่ได้ ต้องเดินข้าม จอดรถทิ้งไว้ เดินข้ามลำน้ำซองกาเรีย ซึ่งจะเดินข้ามไปยังชุมชนชาวมอญ สะพานยาว 850 เมตร เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย บริเวณสะพานนี้เป็นจุดชมวิวที่จะมองเห็น ๓ แม่น้ำ มาบรรจบกันคือ แม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ไหลมารวมกันจึงเรียกว่า "สามประสบ"               
   
 
           บรรยากาศยามเช้าที่สะพานมอญวันนี้ ดูเงียบสงบแต่แฝงความขรึมขลังแห่งมนต์เสน่ห์ของ สะพานไม้แห่งศรัทธาที่ทอดยาวข้ามผ่านแม่น้ำซองกาเรีย อันเป็นเสมือนสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงชาวไทยและชาวมอญเข้าด้วยกัน..
  
     
          ประมาณ6โมงครึ่ง พระเริ่มออกบิณฑบาตร ซึ่งมีญาติโยมพี่น้องชาวมอญมานั่งรอใส่บาตรกันอย่างเป็นระเบียบ อันเป็นกิจวัตรประจำวันที่คุ้นตา   ..

 
         วันนี้มีนักท่องเที่ยวมารอใส่บาตรกันค่อนข้างหนาตา คงเพราะตรงกับวันหยุดยาว นักท่องเที่ยวจึงเยอะเป็นพิเศษ ยิ่งสายผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลกันมา..       



        
    
        การใส่บาตรของชาวบ้านที่นี่  จะใส่แต่ข้าวสวยกัน ส่วนกับข้าวนั้นจะตามไปใส่ที่วัด  มีเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ใส่พร้อมกับข้าวคาวหวานกัน  เพราะไม่สะดวกที่จะไปถวายอาหารที่วัดกัน.


  
        เอกลักษณ์หรือจะเรียกว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวของพี่น้องชาวมอญที่เรามักเห็นและคุ้นตากันอย่างหนึ่งก็คือ การทูนหรือแบกของใว้บนหัว อย่างเจ๊คนนี้ แกทูนหม้อข้าวบนหัวเดินโชว์กลางตลาดเลยครับ..




  
         หลังจากอิ่มบุญจากการทำบุญใส่บาตรกันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องอิ่มท้องกันบ้าง..  เช้านี้เราได้ปาท่องโก๋กับน้ำร้อนรองท้อง ส่วนน้ำเต้าหู้สั่งมาแต่กินกันไม่ลง เพราะเย็นชืดสนิท สงสัยน้ำจะร้อนไม่ทันหรือไม่ก็ต้มใว้นานเกินไป...


         ได้ปลาท่องโก๋รองท้องประทังหิว ก็พอมีแรงเดินชมบรรยากาศบนสะพานมอญกันต่อ เพื่อสัมผัสกลิ่นไอและวิถีชีวิตชาวมอญในยามเช้า..




         เก็บภาพประทับใจ ในมุมต่างๆบนสะพานมอญ.. ท่ามกลางไอหมอกสีควันบุรีที่ค่อยๆจางหายไปเมื่อแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า..


 
        เดินทอดน่องไปตามสะพานไม้แห่งศรัทธา เหลียวแลลงไปเบื้องล่างสายน้ำแห่งชีวิตยังคงไหลเรื่อย.. สามประสบมาบรรจบกันต่างบอกเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตผู้คนที่ไหลผ่าน..



    
          หลังดื่มด่ำบรรยาศบนสะพานมอญกันพอแล้ว ก็ได้เวลาล่องเรือชมUnseen in Thailand เมืองใต้บาดาล ซึ่งสามารถติดต่อเช่าเรือได้ที่ใต้สะพานมอญ ราคา300บาท/เที่ยว ใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณครึ่งชั่วโมง







       ระหว่างทางไปชมเมืองบาดาลหรือวัดจมน้ำ จะมองเห็นยอดเจดีย์พุทธคยาจำลองอยู่ไม่ไกลนัก 


                        +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



 วัดวังก์วิเวการามเก่  หรือวัดจมน้ำ


      วัดวังก์วิเวการามเก่  หรือวัดจมน้ำ เดิมตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย เมื่อมีการสร้างเขื่อนเขาแหลม วัดและชุมชนเก่าจึงจมอยู่ใต้น้ำเมื่อฤดูแล้งมาถึง ระดับน้ำลดลงมากจึงสามารถเห็นวัดเก่าได้อย่างชัดเจน

  
 
      สำหรับ "วัดวังก์วิเวการาม"หรือ "วัดหลวง พ่ออุตตมะ" เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้น ในปี พ.ศ.2496 ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรี ประมาณ 220 กิโลเมตร

     ในระยะแรกมีเพียงกุฏิและศาลา มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ 3 สาย คือแม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ แม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกัน

                
   
      ในปี พ.ศ.2505 ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาให้ใช้ชื่อว่า วัดวังก์วิเวการาม ซึ่งตั้งตามชื่ออำเภอเดิม คืออำเภอวังกะ-สังขละบุรี ซึ่งต่อมาถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอ ก่อนที่จะยกฐานะเป็น อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ.2508

     
วัดวังก์วิเวการาม ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบพม่า มีพระพุทธรูปหินอ่อน และ งาช้างแมมมอธ มีเจดีย์พุทธคยาจำลอง สร้างจำลองแบบจาก เจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยเริ่มก่อสร้าง พ.ศ.2518 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2529 สะพานมอญ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวประมาณ 900 เมตร 
  
          
      เมื่อ พ.ศ. 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งเมื่อกักเก็บน้ำแล้ว น้ำในเขื่อนเขาแหลมจะท่วมตัวอำเภอเก่ารวมทั้งบริเวณหมู่บ้านชาวมอญทั้งหมด ทางวัดจึงได้ย้ายมาอยู่บนเนินเขาในที่ปัจจุบัน หลวงพ่ออุตตมะได้จัดสรรที่ดินของวัดวังก์วิเวการามให้ชาวบ้านครอบครัวละ 30 ตร.ว.
    

      
       ส่วนบริเวณวัดหลวงพ่ออุตตมะเดิม ปัจจุบันพระอุโบสถหลังเก่าจมอยู่ใต้น้ำ และมีชื่อเสียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand เป็นที่รู้จักในชื่อว่า วัดใต้น้ำ สังขละบุรี

      

  
       ตอนที่เรามาตรงกับช่วงที่น้ำลดพอดี จึงอดชมวัดจมน้ำ เพราะบริเวณโดยรอบวัดกลายเป็นเกาะแก่ง อยู่บนพื้นดิน สามารถเดินเข้าไปชมสภาพภายในพระอุโบสถหลังเก่าได้โดยไม่ต้องดำน้ำลงไปดู

  
                              +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    วัดวังก์วิเวการาม (ใหม่)

    วัดวังก์วิเวการาม อยู่เลยจากตัวอำเภอสังขละบุรีไปประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นวัดจำพรรษาของ
“หลวงพ่ออุตตมะ” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งชาวกระเหรี่ยงและพม่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
     ภายในวิหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อขาว จาก วัดวังก์วิเวการาม แยก ไปอีก 1 กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของเจดีย์แบบพุทธคยามีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวา ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร



    
  


     
       รูปหมือนหุ่นขี้ผึ้ง หลวงพ่ออุตมะ ศูนย์รวมจิตศรัทธาของชาวไทย พม่า และกระเหรี่ยง แห่งสังขละบุรี.. 

   
         วัดวังก์วิเวการาม ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบพม่า ทรงคุณค่าทั้งด้านศิลปะสถาปัตยกรรมและความงดงาม อยู่คู่ศรัทธาแห่งพุทธศาสนิกชนอย่างมิเสื่อมคลาย..


                               ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



  ทางรถไฟสายมรณะ สะพานข้ามแม่น้ำแคว

       ขากลับจากสังขละบุรี ตั้งใจจะแวะชมสะพานข้ามแม่แคว และทางรถไฟสายมรณะ ที่ตัวเมืองกาณจนบุรี ซึ่งวันที่เรากลับตรงกลับงานกาชาดจังหวัด และงานสะพานข้ามแม่น้ำแคววันสุดท้ายพอดี..

 
        ก่อนเข้าเมืองกาญฯ แวะเก็บภาพที่ถ้ำกระแซ ตรงรางรถไฟ   ซึ่งข้างๆรางรถไฟจะมีถ้ำที่เคยเป็นที่พักของเชลยศึกเมื่อครั้งสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะ จากไทยไปพม่า ตัวถ้ำติดกับเส้นทางรถไฟสายกาญจนบุรี–น้ำตก วึ่งเป็นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันสิ้นสุดที่สถานีรถไฟน้ำตก ภายในถ้ำโปร่งและมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่ มองจากปากถ้ำมาที่บริเวณทางรถไฟจะเห็นทิวทัศน์ที่งดงามและมองเห็นแม่น้ำแคว น้อยอยู่เบื้องล่าง บริเวณนี้เป็นจุดที่สร้างทางรถไฟยากที่สุด เนื่องจากเส้นทางโค้งเลียบเขา



          ออกจากถ้ำกระแซมาไม่ไกล ก็เข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี เพื่อเยี่ยมชม "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" ซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่เราจะแวะก่อนเดินทางกลับชลบุรี


  

       สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คน และกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดียอีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า

      
       ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองสะพานข้ามแม่น้ำแควเดิมได้รับความเสียหาย และรัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมใหม่ ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง เมื่อปี พ.ศ. 2489 จนสามารถใช้งานได้ดังเดิม ปัจจุบัน มีการยกย่องให้สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ..     
  
        เก็บภาพแสงสีบนสะพานข้ามแม่น้ำแควมาฝากเพื่อนๆ.. เสียดายที่มาวันสุดท้ายของงานเลยอดชมดอกไม้ไฟสวยๆ รวมถึงแสงสีเสียงที่จัดแสดงข้างๆสะพานด้วย เพราะวันนี้เขาเริ่มรื้อเวทีกันบ้างแล้ว

    
            
       ปิดท้ายทริปกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ-สังขละบุรี  ด้วยภาพแสงสีของสะพานข้ามแม่น้ำแคว อันเป็นสัญลักษ์แห่งมิตรภาพ..

       ใกล้ปีใหม่แล้ว ก็หวังว่าจะได้เห็นมิตรภาพของพี่น้องชาวไทยในปีหน้ากันนะครับ..


    
      ++ สถานที่ท่องเที่ยวของ จ.กาญจนบุรีมีค่อนข้างเยอะ ด้วยเวลาอันจำกัดเพียงสองวันหนึ่งคืน ทำให้เที่ยวได้ไม่ครบ ใว้คราวหน้าจะหาเวลาไปreviewอีกครั้ง..แล้วจะupdateให้เพื่อนๆอีกครั้งครับ..

    
                   **************************************************************




 เส้นทางไปสังขละบุรี

   จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่าน จ.นครปฐม ขับมาประมาณ 9 กม.จะพบสะพาน ลอยข้ามไปทาง จ.กาญจนบุรี ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ขับมาประมาณ 7 กม.ท่านจะพบสี่แยกให้ท่าน เลี้ยว ขวา(แยกซ้ายไปบ้านโป่ง ตรงไปคือถ้ำค้างคาว) เพื่อไปยัง อ.เมืองกาญจนบุรี  จากนั้นมุ่งหน้าสู่สี่แยกแก่ง เสี้ยนให้ขับไปทาง อ.ทองผาภูมิ ซึ่งจะผ่านทั้งไทรโยคน้อย และไทรโยคใหญ่ ( หลักกิโลเมตรที่ 125 ทางหลวง หมายเลข 323 ) ท่านจะพบสามแยก ( ตรงไปไปอำเภอทองผาภูมิ +เขื่อนเขาแหลม ถ้าเลี้ยวขวาไป อำเภอสังขละบุรี)ให้ท่าน เลี้ยวขวามือไป สังขละบุรี ซึ่งท่านจะผ่าน น้ำตกเกริงกะเวีย+น้ำตกไดช่องถ่อง ผ่านอช. เขื่อน เขาแหลม เมื่อไปถึงแยก ด่านเจดีย์สามองค์ ท่านไม่ต้องเลี้ยวขวา ให้ขับตรงไป ประมาณ 7 กม. จะพบแยก ซ้ายมือไปสะพานอุตตมานุสรณ์ ขับเข้ามาอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะพบสะพานอุตตมานุสรณ์  หากต้องการไป เที่ยววัดวิเววังการามจากแยกด่านเจดี่ย์สามองค์ไม่ต้องเลี้ยวขวาให้ขับตรงไป ประมาณ 7.4 กม.จะเห็นแยกขวา วัดวังก์วิเวการาม และแยกซ้ายไป เจดีย์พุทธคยา จำลอง ให้ท่านเลี้ยวซ้ายไปทางเจดีย์พุทธคยา จำลอง
    สำหรับคนที่ไปจากชลบุรี แนะนำให้วิ่งเส้นกาญจนาภิเษก ที่ไปเชื่อมต่อวงแหวนตะวันตก หรือจะใขึ้นทางด่วนไปลงที่ดาวคะนอง ออกพระราม2 แล้วใช้เส้นทางเพชรเกษม เพื่อเข้าสู่นครปฐม แล้วจะเจอทางหลวงหมายเลข 323 เอง..
   
 

ที่พักบริเวณสังขละบุรี

  • สามประสบ รีสอร์ท โทร. 0-3459-5050 http://www.samprasob.com
  • พรไพลินริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท โทร. 0-3459-5355, 0-3459-5322 http://www.ppailin.com
  • พี.เกสท์เฮ้าส์ แอนด์ คันทรี รีสอร์ท โทร. 0-3459-5061, 0-3459-5139 http://www.pguesthouse.com
  • ฟอร์เกทมีนอท รีสอร์ท โทร : 034-595014-5
  • พนธ์นที รีสอร์ท โทร. 0-3459-5134, 0-3459-5269
  • ดอนคำ รีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำซองกาเลีย โทร. 08-1935-5932, 08-6323-1778
  • เบอร์มิส อินน์ โทร. 0-3459-5556 http://www.sangkhlaburi.com
  • ซองกาเลีย รีสอร์ท โทร. 0-3459-5023-4, 08-9927-5430, 08-6307-2736, 08-1834-5660 http://www.songkhaliaresort.com
  • แพซองกาเลียน้อย โทร. 034-595396 , 08-1294-9308 http://www.songgarianoi.com
  • แพผาผึ้ง ทะเลสาบเขาแหลม โทร. 0-2967-8181-4, 08-1944-0898, 08-1848-4469
  • สังขละ การ์เด้นโฮม โทร. 0-3459-5007, 0-3459-5129, 0-3459-5229
  • แพสมบูรณ์ โทร. 0-3459-5396
  • แพมิตรสัมพันธ์ โทร. 0-3459-5261, 08-1812-7360
  • ปอยหลวง รีสอร์ท โทร. 0-3459-5068, 0-3459-5207
  • เจดีย์ เจมส์รีสอร์ท โทร. 0-3459-5337, 08-1816-6889, 08-1215-5847
  • แพนาวาศิลาทอง โทร. 081-548-0146, 081-717-5721
  • แพแสงจันทร์ฉาย โทร. 087-157-5112, 089-808-4018, 034-595144
  • แพนกน้อย โทร. 034-532075, 086-174-1143, 089-210-8518
  • เรนไชน์ รีสอร์ท โทร. 034-595-278 081-170-2109

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บางแสนย้อนยุค ปี2

     เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (ปลายเดือนกุมภาพันธ์) มีโอกาสแวะผ่านไปที่หาดบางแสนช่วงเย็นๆ.. และบังเอิญตรงกับงานบางแสนย้อนยุคปี2พอดี  เลยถือโอกาสเดินกดชัตเตอร์เก็บภาพบรรยากาศในงานเอาใว้.. และนำมาฝากเพื่อนๆ  เผื่อปีหน้าถ้ามีโอกาสจะได้แวะมาเที่ยวกัน..


  
     เทศบาลเมืองแสนสุข ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี จัดงานบางแสนย้อนยุค ปีที่ 2 ประจำปี 2553 ภายใต้สโลแกนเก๋ๆ "แต่งตัวให้ย้อน(ยุค) ลีลาศให้เพลิน แล้วมาสัมผัสความบันเทิงในยุค 60-80's" ระหว่างวันที่ 26-27 กุมภาพันธ์ 2553 ณ บริเวณชายหาดบางแสน ชลบุรี


  
      สนุก กับแฟนซีไนท์ ริมหาดบางแสน ในบรรยากาศแบบย้อนยุค ชมโชว์ลีลาศที่เร้าใจจากนักเต้นลีลาศชื่อดัง การละเล่นรำวงย้อนยุค ซึ่งคุณจะได้ซึมซับและร่วมสัมผัสบรรยากาศเรื่องราวของบางแสนในอดีต ในมุมที่คุณไม่เคยรู้ อาทิ การเลือกชม เลือกซื้อของเก่า สินค้าโบราณ หายาก ทั้งแผ่นเสียง โปสเตอร์ โปสการ์ด ของเล่นโบราณ ดูหนังกลางแปลง


        ในงานยังมีรถโบราณสวยๆในช่วงยุค 80 หลายแบรนด์ มาจัดโชว์ให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด..





      นอกจากนี้..ยังได้สนุกสนานกับเกมส์ฮิตในอดีต เช่น การละเล่นสอยดาวย้อนยุค เพื่อลุ้นของรางวัลที่ไม่เหมือนใคร อิ่มอร่อยกับรสชาติอาหารโบราณมากมายหลายร้าน ในบรรยากาศย้อนยุคของชายทะเลริมหาดบางแสน


      รถยนต์เพ้นลายการ์ตูนสีสันสวยสดใส ถูกดัดแปลงเป็นร้านคอคเทล ให้บริการเครื่องดื่มแก่ผู้มาเดินเที่ยวงาน มีโต๊ะให้นั่งพัก พร้อมเบียร์เย็นๆแก้กระหาย..



     ยังมีของเก่า สินค้าโบราณ ของหายาก ที่ไม่เคยพบเห็นจากที่ไหนมาก่อน ให้เดินช็อปกันอย่างเพลิดเพลินเจริญตาสำหรับบรรดานักสะสม..

    
 
      เครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบโบราณ พร้อมแผ่นเสียงของนักร้องดังในอดีตทั้งไทยและเทศ..


    
        ตะเกียงเจ้าพายุในสมัยเก่า และของใช้ยุคก่อนปี80 ที่ดูได้ยาก แหมะกับนักสะสมของก่าที่มองหาของโบราณสะสมใว้ดูเล่น..


 
        ฉากหลังที่ถูกจัดแต่งบรรยากาศแบบย้อนยุค รอให้บรรดานางแบบสาวสวย ผู้มาเที่ยวงานโพสท่าถ่ายรูปเก็บกลับไปเป็นที่ระลึก..


  
        เวทีรำวงสไตล์งานวัดยุคเก่า ประดับด้วยดวงไฟหลากสีส่องแสงสวยงามน่าชวนมอง..




       ภาพบรรยากาศริมชายหาดย้อนยุค พร้อมดาราดังในอดีต รอให้ผู้มาเที่ยวงานถ่ายรูปใว้เป็นที่ระลึก



       
       ลานแสดงดนตรีสุดคลาสสิค คลอเคล้าด้วยเสียงเพลงอันไพเราะ ประสานกับสายลมเย็นๆ ที่พัดโชยมาจากชายทะเล..
   


          
       นอกจากนี้ยังมีเสื้อยืดสกรีนลายด้วยภาพโพสเตอร์หนัง และโฆษณาในยุคก่อน ให้เลือกซื้อใว้ใส่เล่น หรือจะเก็บสะสมใว้ก็ยังได้..


      
        ร้านนี้..เป็นแหล่งรวมภาพเก่าๆ พร้อมใส่กรอบแบบโบราณใว้ให้ด้วย ทั้งโปสเตอร์หนัง โฆษณา โลโก้สินค้า ภาพดารา นักร้อง..และภาพอื่นๆ ที่หาดูได้ยาก

       
 
        อีกมุมหนึ่งที่รวมโพสเตอร์โฆษณา ภาพถ่ายเก่าๆที่หาดูได้ยากเช่นกัน ..
                     
       

    แหล่งรวมแผ่น CD, VCD เพลงนักร้องดังในอดีต ที่หาฟังได้ยาก ..

          

       ฉากหลังสีสันสวยงาม รอเพื่อนๆมารับบทเป็นนายแบบ-นางแบบถ่ายรูปเก็บใว้เป็นที่ระลึก..


       
 
        ใว้พบกันใหม่ในงานบางแสนย้อนยุคปี3 (2554) นะครับ..