วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ตลาดประมงท่าเรือพลี(ชลบุรี)

        สายลมเย็นพัดโชยแผ่วเบา.. หอบเอาความชื้นและกลิ่นไอทะเลโชยเข้่าหาฝั่ง  แสงไฟจากเรือหาปลาที่จอดเทียบท่า สะท้อนผิวน้ำทะเลยามกระเพื่อมโยกไหว มองดูระยิบระยับวาววับราวอัญมณีล้ำค่า..




     หลังเลิกงานวันนี้ มีโอกาสแวะเวียนมาแถวสะพานปลาชลบุรีอีกครั้งหนึ่ง เลยถือโอกาสเดินเที่ยว "ตลาดประมงท่าเรือพลี"  หาของกินอร่อยๆ และเก็บภาพสีสันยามเย็นของ "ตลาดประมงท่าเรือพลี" มาฝากเพื่อนอีกครั้ง..     

 
      คงเพราะใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้วสินะ แค่หกโมงกว่าๆเอง แสงทองของดวงตะวันก็ลับหายไปจากขอบฟ้าด้านตะวันตกแล้ว ทิ้งใว้เพียงความมืดสลัวแห่งสนธยา และแสงเรืองรองของดวงตะเกียงจากเรือหาปลาของชาวเล ที่อยู่ไกลลิบออกไป..


      เมฆในยามเย็นทอดตัวยาวออกสู่ท้องทะเล..ราวกับสะพานแห่งท้องฟ้า ที่คอยนำทางหมู่วิหกนกกาบินกลับสู่รวงรัง..
  


       ตรงทางเข้า"ตลาดประมงท่าเรือพลี" จะเห็นเรือหาปลาสีแดงเข้ม ตั้งเด่นเป็นสง่า ประหนึ่งสัญลักษณ์ของงานนี้ ที่ใครๆเดินผ่านมาจะต้องสะดุดสายตา และอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปลูบๆคลำๆ และกดชัตเตอร์เก็บใว้ในเมมโมรี่แห่งความทรงจำ..
 

      ฝั่งตรงข้ามกับเรือลำสีหมากสุกเมื่อกี้นี้.. จะเห็นป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ บรรยายถึงจุดเด่นของอาหารทะเลที่นี้ ซึ่งเน้นความความสด สุก ถูก และอร่อย เปิดทุกวันเสาร์ตั้งแต่ 4 โมงเย็นเป็นต้นไป

   
      เดินผ่านประตูเข้ามา.. กลิ่นหอมของวัตถุก้อนกลมที่ถูกเสียบด้วยไม้ไผ่บนเตาย่าง กำลังแย่งกันส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนน้ำลายไหล..  "แจงลอนปลากราย" นั่นเอง ทั้งสีสัน กลิ่นหอม และรสชาติอร่อยสมคำโฆษณาจริงๆครับ..


       เดินเข้ามาอีกหน่อย จะเป็นส่วนของอาหารทะเลสดๆ ใหม่้ๆ ที่เพิ่งขึ้นจากเรือมา รับรองว่าท่านจะได้ของสด สะอาด ในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป..

         
    
     ปูนึ่งเจ้านี้.ดูสีสันน่ารับประทานยิ่งนัก ตัวกำลังพอดี นึ่งสุขใหม่ๆ สดๆ มีป้่ายติดบอกราคาชัดเจน สนใจแวะเข้าไปต่อรองกันได้นะครับ..

   
       หมึกสดย่างถาดนี้ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนมาแต่ไกล ลองลิ้มชิมรสดูแล้ว ได้รสชาติของความสด และกลิ่นหอมของหมึกย่าง เนื้อปลาเหนียวนุ่มพอดี บวกกับน้ำจิ้มรสเด็ดเผ็ดหน่อยๆ อร่อยอย่างลงตัวยิ่งนัก..


 

      ไม่เพียงแต่อาหารทะเลเท่านั้น ที่นี่ยังมีอาหารอย่างอื่นอีกมากมายหลายชนิด อย่างหมูหวานสูตรพิเศษถาดนี้ หมักได้รสชาติกลมกล่อมไม่แพ้ที่อื่นเลยนะครับ ยิ่งถ้าได้ข้าวเหนียวร้อนๆสักปั้น อิ่มถึงเช้าเลยเชียว.


        หรือจะเป็นข้าวห่อใบบัวของเจ้านี้ รสชาติความอร่อยรับรองไม่แพ้ที่อื่นเหมือนกัน ได้ทั้งความนุ่มหอมของเมล็ดข้าวและธัญพืชที่เป็นส่วนผสมอยู่ภายใน มองดูสีสันยิ่งชวนให้น่ารับประทานขึ้นไปอีก..



       เมนูนี้ขอแนะนำเป็นพิเศษเลยครับ "หอยทอดครกทะเลทรงเครื่อง" เพิ่งเคยชิมที่นี้เป็นครั้งแรก ติดใจรสชาดความสดอร่อยของหอย บวกกับเทคนิคการแคะอย่างขนมครก แค่ยืนดูก็น่าสนุกและคุ้มค่าแล้วล่ะครับ.. ยิ่งทานตอนแคะออกมาจากกระทะใหม่ๆ ร้อนๆ ได้บรรยากาศและรสชาติการกินที่แปลกไปอีกแบบ..


       กรรมวิธีการทำและการเทน่าสนใจมากครับ  ต้องกะปริมาณน้ำที่เทให้พอดีกับหลุมครกไม่มากไป หรือน้อยจนเกินไป เพื่อให้แต่ละครกออกมาใกล้เคียงกันที่สุด


      จากนั้นก็แต่งหน้าด้วย กุ้ง หอย ปู ที่นึ่งสุขสดๆใหม่ๆ ตามแต่ลูกค้าต้องการ.. เห็นแค่นี้ก็ยากที่จะอดใจรอแล้วล่ะครับ อยากให้แม่ค้ารีบแคะเร็วๆจัง..

   
 
       ที่เห็นกำลังเทเครื่องลงไปอยู่นี้ ขอตั้งชื่อว่า "ขนมครกญี่ปุ่น" ก็แล้วกันนะครับ (จำชื่อไม่ได้อ่ะ)
เพียงเห็นหน้าตา และได้กลิ่นหอมๆที่โชยมากระทะร้อนๆแล้ว อดไม่ได้จนต้องไปต่อแเถวเข้าคิวรอ..



       หลังจากสุกแล้ว ต้องใช้ไม้แคะออกจากเบ้ากระทะ ก่อนจะนำมาประกบกันเป็นลูกกลมๆ ซึ่งรสชาติความอร่อยจะถูกซ่อนใว้ข้างในนี่แหละครับ รวมถึงความร้อนของแป้งด้วย ต้องระวังเป็นพิเศษเวลาทาน.. อย่าเผลอกินเข้าไปทั้งคำเลยเชียว..


       ขนมหวานรูปกาตูนย์หลากแบบหลายสีสัน ประดิษประดอยด้วยฝีมืออันปราณีตสวยงาม ดูแล้วน่าซื้อเก็บใว้ดูเล่นมากกว่ารับประทาน..


   
      ถัดมาข้างๆกัน..ขนมหวานรูปผลไม้ สีสันสดใสสวยงามไม่แพ้กัน สำหรับท่านที่ชอบขนมหวาน สีสวยๆ แวะมาแล้วรับรองไม่ผิดหวังแน่นอนเลยครับ..



      ทานเสร็จแล้วก็อย่าลืมช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยนะครับ...


    
      หากมีเวลาก็อย่าลืมแวะร้านขายเสื้อยืดสกรีนลายสวย เลือกเป็นของฝากของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปใส่อวดเพื่อนๆด้วยล่ะครับ..


    ที่นี้..มีโต๊ะเก้าอี้จัดเตรียมใว้สำหรับให้นั่งทานกันได้ตามอัธยาศัย บางวันมีดนตรีและการแสดงหน้าเวที ขับขานเป็นเพื่อนระหว่างรับประทาน ไม่ต่างจากภัตคารหรูใจกลางเมือง เพียงแต่ที่นี้อาหารสด รสชาติอร่อย ราคาถูกกว่า แถมยังได้บรรยากาศชายทะเล ฟังเสียงคลื่นเบาๆ ลมทะเลเย็นๆ อีกต่างหาก
  
   
 

      สำหรับ "ท่าเรือพลี" แห่งนี้ เดิมมีชื่อว่า "สะพานศาลเจ้า" ซึ่งมีที่มาตามลักษณะชุมชนบ้านสะพานของชาวชลบุรีสมัยก่อน ซึ่งมักปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ในทะเล และจะสร้างสะพานไม้ลัดเลาะไปตามทะเลเป็นทางเดิน ใช้เป็นทางสัญจรไปมาของผู้คนที่อาศัยอยู่สองฟากฝั่งสะพานเพื่อลงสู่ทะเล ประกอบกับในซอยนี้มีศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ตั้งอยู่ที่ต้นซอยและท้ายซอยคือ ศาลเจ้าฮกเกี้ยนปุ้นเถ้าอยู่ต้นซอย และศาลเจ้าทีตี้เปบ้ออยู่ท้ายซอย จึงเป็นที่มาของคำว่า "สะพานศาลเจ้า"

      เมื่อก่อนนี้ ชลบุรียังไม่มีถนนสุขุมวิทตัดผ่าน "ท่าเรือพลี" ถือเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทางด้านเศรษกิจของชลบุรี  เพราะเป็นท่าเรือสำหรับเรือฉลอมและเรือกลไฟ ใช้รับส่งสินค้า และรับส่งผู้โดยสารระหว่างชลบุรี-กรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ จึงเป็นที่มาของ "ท่าเรือพลี"

          ............................................................................................................

     สำหรับเพื่อนๆที่อยู่แถวชลบุรีหรือจังหวัดใกล้เคียง หากมีโอกาศแวะมาแถวนี้ ก็อย่าลืมนึกถึง   "ตลาดประมงท่าเรือพลี" นะครับ หรือมาไม่ถูกต้องการสอบถามเส้นทางหรือคนนำทางก็ยินดีครับ..

      "ตะวันรอนอ่อนแสงสีแดงเรื่อ
  ลอยลำเรือกลางทะเลสุดเหว่ว้า
  รัตติกาลซอนไซใกล้เข้ามา
  เส้นขอบฟ้ามืดสนิทจิตวังเวง
      ที่ฟากฝั่งนั่งเหม่อละเมอคิด
  เรือชีวิตคนนั่งช่างโหวงเหวง
  พายุชัดกระหน่ำซ้ำโคลงเคลง
  ให้ลอยเคว้งกลางสมุทรสุดเดียวดาย.."
  
    
  
Update เพิ่มเติม : เนื่องจากมีเพื่อนๆหลายคนโทรมาสอบถามเส้นทางที่จะไปตลาดประมงท่าเรือพลี เลยต้องเอาแผนที่เส้นทางมาลงให้ดูกัน หวังว่าคงจะคลำทางไปกันถูกนะครับ..

 แผนที่ตลาดประมงท่าเรือพลี

         ถ้ามาจากกรุงเทพสายบางนาตราด ขับตรงเข้ามาทางชลบุรี ก่อนถึงตัวเมืองชลบุรี (ช่วงค่ายทหารนวมินทร์) เจอสามแยกบางทราย ให้เลี้ยวขวาตรงไฟแดง ขับไปตามทางลัดที่จะไปอ่างศิลา หรือหาทางทะลุไปออกเส้นเลียบชายทะเล (สอบถามคนแถวนั้นก็ได้ครับ) แล้วขับไปตามสะพานใหม่เลียบชายทะเล ซอยท่าเรือพลีจะอยู่ด้านซ้ายมือ..


  

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทริป หัวหิน เพลินวาน (ตอนจบ)

สถานีรถไฟหัวหิน..   

      หลังจากเที่ยวเดินที่ เพลินวาน อย่างจุใจ จวนตะวันคล้ายบ่ายคล้องลอยลงต่ำแล้ว..พวกเราก็ออกเดินทางต่อไปยัง สถานีรถไฟหัวหิน อันเป็นจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้..

 
       เรามาถึงสถานีหัวหินเมื่อใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว  ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของพวกเรา เพราะอีกไม่นานก็จะได้เวลารถไฟเข้าเทียบสถานีแล้ว(ไม่ต้องรอนาน) เป็นโอกาศอันดีที่จะได้เก็บภาพตอนที่รถไฟวิ่งเข้าเทียบชายชลา..


        สถานีรถไปหัวหิน นับเป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น สะดุดทุกสายตาที่พบเห็น ซึ่งจะสังเกตุได้จากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศที่มาเยือน..ต่างอดใจไม่ไหวที่จะถ่ายภาพคู่กับสถานที่แห่งนี้กลับไปเป็นที่ระลึกและอวดเพื่อนๆว่า ครั้งหนึ่ง..ได้มาถึงสถานีรถไฟอันเป็นตำนานแห่งนี้..

   
      โดยเฉพาะป้่าย หัวหิน ที่ตั้งตระหง่านอยู่ก่อนถึงสถานี เสมือนเป็นสัญลักษณ์หรือโลโก้ของที่นี้ก็ว่าได้ ที่ใครๆถ้ามาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องขอเก็บภาพมุมนี้ใว้ในความทรงจำ..


        อีกจุดหนึ่งที่หน้าสนใจไม่แพ้กันคือ "พลับพลาพระมงกุฎเกล้าฯ" เป็บพลับพลาจตุรมุขที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เดิมมีชื่อว่า "พลับพลาสนามจันทร์" เคยตั้งอยู่ที่บริเวณสนามจันทร์ จ.นครประฐม แต่เมื่อสิ้นรัชสมัย จึงได้ทำการรื้อถอนมาเก็บใว้ และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2511 ก็ได้นำมาปลูกสร้างขึ้นใหม่ที่หัวหินแห่งนี้ เพื่อให้เป็นที่ประทับขึ้นและลงรถไฟของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..

 
       ในระหว่างนั่งรอขบวนรถไฟซึ่งอีกไม่นานก็คงจะคืบคลานมาถึง. เลยถือโอกาสเก็บภาำพบรรยากาศ รอบๆสถานีรถไฟ มาฝากเพื่อนๆกันครับ..

 
       มุมนี้ถ่ายย้อนจากฝั่งตรงข้ามทางรถไฟ  ซึ่งด้านนี้จะมีซากรถไฟโบราณจอดนิ่งสงบ ราวอนุสาวรีย์รถไฟ.. รอนักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพคู่เป็นที่ระลึกประหนึ่งซูปเปอร์สตาร์..


        สาวสวยคนนี้เป็นนางแบบบังเอิญอ่ะครับ..(ไม่ใช่รับเชิญ) ไม่รู้ติดเข้ามาในเมมโมรี่หัวใจเฮ้อ!..  เมมโมรี่กล้องได้อย่างไร หากใครพบเห็นหรือรู้จักเจ้าตัว ช่วยบอกให้ติดต่อกลับด้วยนะครับ..จะมีรางวัลให้อย่างงาม

         สงสัยคงได้เวลาที่รถไฟจะเข้าเทียบชานชลาแล้วกระมัง  เพราะมองข้ามทางรถไฟไป เห็นสาวๆโบกกันใหญ่เลย.. ไม่รู้ว่าเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายกันหรือเปล่า ถึงเร่งโบกขนาดนั้น..   


       และแล้ว..เจ้ากิ้งกือเหล็ก ที่เปิดหวูดมาแต่ไกล ก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาเทียบชานชลา ก่อนจะหยุดนิ่งลงอย่างช้าๆ ตรงหน้าสถานี..
    
    
       บรรดาพ่อค้าแม่ขาย ต่างไม่รอช้าที่จะหอบหิ้วสิ้นค้าของตนขึ้นไปนำเสนอ มีตั้งแต่ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ข้าวกล่อง น้ำอัดลม ถั่วต้ม ขนมขบเคี้ยว และหมากฝรั่ง ฯลฯ เป็นต้น ถือเป็นนาทีทองของนักธุรกิจข้างราง ที่ต้องฉกฉวยให้ท่วงทันเวลา ก่อนที่นายสถานนี้จะให้สัญญาณหมดเวลา และเจ้ากิ้งกือเหล็กลำยาว ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป ทิ้งเพียงร่อยรอยและรางรถไฟว่างเปล่าใว้เบื้องหลัง ดูเป็นภาพบรรยากาศแสนคลาสสิคของผู้มาเยือนที่คอยเฝ้ามอง แต่กลับเป็นภาพชินตาของผู้คนที่นี่...


         
         ชีวิตเราเอง..ก็เฉกเช่นการเดินทางของขบวนรถไฟ  ต่างกันก็ตรงที่ระยะทางและรางวิ่ง จะราบรื่นหรือยาวไกลเพียงใด  แต่ถึงยังงัยสักวันหนึ่ง ก็ต้องไปถึงจุดหมายเดียวกัน..

        และแล้ว ทริปหัวหิน เพลินวาน ก็เดินทางมาถึงตอนอวสานกันเสียที  คงได้แต่เก็บภาพอันแสนประทับใว้ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน.. และหากเพื่อนๆมีโอกาศเดินทางมาเที่ยวหัวหิน ก็อย่าลืมแวะมาที่ สถานีรถไฟหัวหินแห่งนี้กันนะครับ หรือจะตระเวนเที่ยวตามเส้นทางทริป ที่ผมแนะนำไว้่ก็ยิ่งคุ้มค่ากับการเดินทาง เพราะวันเดียวเที่ยวได้ตั้งหลายที่.
 
        แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้านะครับ..ใน  กินไปเที่ยวไปกับนายMK..

    จบทริป หัวหิน เพลินวาน
   +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทริป หัวหิน เพลินวาน(ตอนที่3)

 เพลินวาน ..ครั้งหนึ่งในความทรงจำ

       หลังจากพา้เพื่อนๆไปเที่ยวชมความสวยงามและกราบสักการะองค์หลวงพ่อทวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ  วัดห้วยมงคล ในตอนที่2 แล้วนั้น   ทีนี้..ก็คงถึงเวลาเสียที ที่จะได้นำเพื่อนๆไปสัมผัสบรรยากาศย้อนยุคอันแสนคลาสสิคกับ "เพลินวาน.. พิพิธพัณฑ์โบราณหัวหิน"

   
        ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หลังออกจากวัดห้วยมงคลพวกเราก็มาถึง เพลินวาน  ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของทริปนี้.. 

     
       หลังจัดแจงจอดรถเรียบร้อยแล้ว เราไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปแม้แต่นาทีเดียว เพราะพยาธิในกระเพาะเรียกร้องและคร่ำครวญว่าถึงเพลาให้อาหารมันแล้ว จึงต้องเร่งจรลีเข้าไปข้างใน มุ่งตรงไปยังส่วนของร้านอาหาร..

  
       เราเดินผ่านส่วนร้านค้าดิ่งตรงเข้ามาข้างใน ที่เป็นส่วนของร้านอาหาร (นาทีนี้ไม่สนใจอะไรแล้ว กำลังหิว) ที่นี่..มีทั้งอาหารคาวหวาน ของทานเล่นและ้ครื่องดื่มหลายร้านหลากเมนูใว้คอยบริการ ให้เลือกรับประทานกันตามใจชอบ แต่ละร้านต่างตกแต่งอย่างสวยงาม มีป้ายบอกเมนูและราคาชัดเจน การจัดวางข้าวของก็ดูสะอาด ชวนให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น..  


  
        "อู๊ดหมูสะเต๊ะโชคชัย4"เจ้านี้มาขายซะไกลเชียว.. แต่ดูราคาหน้าป้ายแล้วก็โอเคครับ ไม้ละ 3บาท เรทเดียวกับร้านแถวชลบุรี  อยากรู้ว่ารสชาติจะเป็นยังงัย เลยส่งซิกให้เจ๊เจ้าของร้านจัดหนักมาเลย..   "ด่วนเลยครับเจ๊ !.. กำลังหิวจัด " 
      

          ทั้งหน้าตา สีสัน และรสชาด ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ น้ำจิ้มที่เข้มข้นกับรสชาดกลมกล่อม บวกกับเนื้อที่เหนียวนุ่ม เวลาเคี้ยวจะให้ความรู้สึกอยากกินไม้ต่อไปอย่างไม่รู้อิ่ม.. แถมยังมีขนมปังที่หั่นชิ้นพอดีคำเป็นเครื่องเคียง จิ้มกับน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะแล้วอร่อยไปอีกแบบ..




        อาหาร(บางอย่าง)และเครื่องดื่มที่นี่ ราคาค่อนข้างแพงไปนิด หากเทียบกับตลาดน้ำแถวบ้าน  อย่างก๋วยจั๊บชามนี้ ราคา 40 บาท น้ำสิงห์ขวดละ 20บาท (ไม่รวมน้ำแข็ง) ส่วนรสชาดความอร่อยถือว่าใช้ได้ครับ เพราะทานกันจนเกลี้ยงชาม ไม่รู้เพราะหิวจนหน้ามืดหรือเปล่า..


 
       หลังจากอิ่มอร่อย สบายท้องกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาออกเดินเที่ยวชมความคลาสสิค ของหมู่บ้านย้อนยุคแห่ง เพลินวาน เพื่อเก็บภาพความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ ทั้งเป็นการเดินย่อยอาหารไปในตัว..

      คำว่า เพลินวาน มาจาก"Pay and Learn " ในวันวาน ด้วยความปรารถนาให้ทุกคนมามีความสุขด้วยกัน มานึกถึงความรู้สึกดีๆในอดีต เรียนรู้วัฒนธรรมดั้งเดิม ..

   

         เพลินวาน มีลักษณะคล้ายหมู่บ้านย้อนยุคที่มีชีวิต (Eco Vintage Village) มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเสื้อผ้า ร้านขายขนม ร้านเหล้าในยุคสมัยก่อน รูปแบบของหมู่บ้านและร้านค้าล้วนทำมาจากไม้ ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในช่วง พ.ศ. 2499 อีกครั้ง..


      เพลินวาน เป็นสถานที่ที่เน้นการขายอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของที่ใช้ในการตกแต่ง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพนักงาน ซึ่งจะเป็นของที่ใช้จริงในสมัยนั้น แต่ที่โดดเด่นไม่เหมือนที่อื่นก็คือ ข้าวของที่นี่สามารถซื้อขายได้จริง ไม่ใช่แค่ตั้งโชว์เหมือนพิพิธภัณฑ์


       
       นอกจากนี้ เพลินวาน ยังมีการฉายหนังกลางแปลง ในรูปแบบงานวัด มีเทปคาสเซทเพลงเพราะๆของวันวานให้เลือกซื้อ รวมถึงวีดิโอหนังรักวัยหวาน  ใบปิดหนังดังของดาราในอดีต พร้อมกับเก็บภาพมุมเก่าๆ ในเพลินวาน ใว้เป็นที่ระลึก หรือจะแวะส่งโปสการ์ดหาเพื่อนๆที่ไม่ได้มาให้อิจฉาเล่น ก็สามารถทำได้..

  
       ร้านนี้เป็นอีกมุมที่น่าสนใจ สำหรับนักสะสมหรือผู้แสวงหาภาพถ่ายเก่าๆในอดีต โดยเฉพาะภาพพระราชกรณียกิจขององค์พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา หลายภาพที่ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน ท่านอาจได้เจอ ณ ที่นี้ก็เป็นได้..
    
  
      ส่วนร้านนี้..เป็นแหล่งรวบรวมเทปคาสเซทเพลงเพราะๆ ของวันวานจากนักร้องชื่อดังในอดีต ใว้ให้เลือกซื้อเก็บสะสมเป็นที่ระลึก..
 

       หรือหากใครสนใจ เพลินวานการแว่น.. ที่นี้ก็มีให้เลือกซื้อหาหลากสไตล์หลายแบบ ทั้งแว่นพระเอก นางเอก ตัวตลก หรือจะเป็นแว่นตัวอิจฉา  ใครสนใจบทบบาทไหนก็เลือกซื้อได้ตามอัธยาสัยเลยครับ..

 

       มุมเก่าๆในอดีตของเพลินวาน..ภาพนี้ได้นายแบบเกาหลี(ไม่รู้เกาใต้หรือเหนือ) มาคอยยืนโบกรถไฟให้ เป็นอีกมุมหนึ่งของเพลินวาน ที่หากใครได้มาเยือนแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพสวยๆมุมนี้ใว้ในความทรงจำ..


      หากใครหลงเที่ยว เพลินวาน จนเพลินใจไม่อยากกลับ ที่นี่ก็มีห้องพักใว้คอยบริการ ท่านสามารถเข้าพักได้ที่ พิมานเพลินวาน ที่พักแนว Retro ที่จะทำให้ท่านและคนรักนอนหลับฝันดีตลอดทั้งคืน..

     
          

       เพลินวาน ได้เปิดบริการให้เข้าชมอย่างเต็มรูปแบบในทุกส่วน มีทั้งแฟชั่นเปรี้ยวๆในวันวานกับห้องเสื้อไฉไ,พักร้อนด้วยเพลินวานไอศครีม,ของเล่นในสมัยวันวาน,กาแฟโบราณอันเลื่องชื่อของหัวหิน,ร้านข้าวอุ่น แกงร้อน อาหารเลื่องชื่อตำนานหัวหิน, ร้านเหล้าเพลินวาน ที่มีทั้งสุราและยาดอง,สถานีจัดรายการ เพลินเพลง เพลินวาน ที่จะเปิดเพลงในสมัยก่อนให้เพลิดเพลินตลอดวัน..

     นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ เพลินวาน เท่านั้นเองครับ..ยังมีอีกมากมายหลายมุมที่ไม่ได้นำมาเสนอ หากเพื่อนๆอยากเห็น อยากลิ้มรส อยากสัมผัสบรรยากาศเก่าสุดคลาสสิคอย่างนี้ ต้องมาดูด้วยตาตัวเองนะครับ ..


 
        
     หากใครได้มาที่ เพลินวาน แห่งนี้ เชื่อว่าอดีตอันงดงานจะย้อนกลับมาให้คุณได้หวนระลึกถึง  นับเป็นอีกทางเลือกสำหรับการพักผ่อนในหัวหิน ร่วมกับครอบครัวหรือคนรัก
     ที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00-24.00 ไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด การเดินทางก็ไม่ยาก ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามพราะราชวังไกลกังวล ที่เรารู้จักกันดีนั่นเองครับ.. 

   จบตอนที่3

            +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

      อย่าลืมติดตามต่ิอ ตอนที่4(ตอนจบ)นะครับ กับ "สถานีรถไฟหัวหิน" ที่จะรอให้เพื่อนๆไปเยี่ยมชม..  แล้วเจอกันครับ..