วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สะพานปลา-หน้าศาล ชลบุรี

      นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง ของคนชลบุรี เพราะนอกจากจะมีที่เที่ยวที่กินเยอะแยะแล้ว ยังมีสถานที่ให้พักผ่อนหย่อนใจมากมายหลายแห่งด้วยกัน ..


     
        สะพานปลา-หน้าศาล นับว่าเป็นอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมของคนชลบุรี ด้วยภูมิทัศน์ที่โล่งกว้าง เลียบชายทะเล เหมาะแก่การพักผ่อน นั่งมองออกไปในท้องทะเล ปลดปล่อยอารมณ์ให้โลดเล่นไปตามคลื่นที่ซัดสาดละลอกแล้ว ละลอกเล่า ...

        ที่นี่..ทั้งยังเหมาะแก่การวิ่งออกกำลังกายในยามเย็นสำหรับนักเดิน นักวิ่ง และนักปั่นจักรยาน ได้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเลยทีเดียว..



     
         วันไหนที่ีเหนื่อยจากการทำงาน หลังเลิกงานหากไม่ค่ำนัก มักจะขับรถเลยมาที่สะพานปลาแห่งนี้
จอดรถเลียบริมฟุตบาท หรือไม่ก็ถอยหลังเข้าไปจอดตรงลานกว้างที่ยื่นออกไปในทะเล เปิดท้ายปิ๊กอัพ เอาเสื่อออกมาปูนนั่งรับลมทะเลเย็นๆ และมองดูคลื่นที่ชัดเข้าหาฝั่ง ดูเรือหาปลาที่จอดเทียบท่า บางลำกำลังจะวิ่งออกจากฝั่ง  หันหัวเรือพุ่งทะยามออกสู่ท้องทะเล อย่างไม่รู้จุดหมาย...

   

         มองดูคลื่นทะเล..ก็เหมือนชีวิตคนเรา มีขึ้นมีลง ตามกระแสลมแห่งโชคชะตา บางวันก็เงียบสงบสวยงามใต้ท้องฟ้าสีครามสดใส แต่บางวันโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง คลุมด้วยเมฆสีดำทะมึน ดูน่ากลัวยิ่งนัก .. 

        แต่จะอย่างไรก็ตาม  หลังฝนตกยังมีท้องฟ้าที่สดใจรอเราอยู่ หากไม่ท้อแท้ซะอย่าง ชีวิตก็ต้องพบทางออกของมันเอง  หากเพื่อนๆคนใดมีเรื่องไม่สบายใจ คิดอะไรไม่ออก ก็ลองมานั่งมองทะเลที่นี่ดูนะครับ ..

       
         ใกล้ๆแถวนี้ยังมีร้านอาหารอร่อยๆ หลายร้านสำหรับนักชิมผู็แสวงหาโอชารส ส่วนสำหรับนักช๊อป ตัวยงที่ชอบบรรยากาศแบบถนนคนเดิน ที่นี่เลยครับ..รับรองไม่ผิดหวัง เพราะทุกเย็นวันศุกร์ จะมีตลาดหน้่าศาล เริ่มตั้งแต่ 5 โมงเย็นไปจนถึงเกือบห้าทุ่ม มีของให้เลือกมากมายหลากหลายแบบ และที่สำคัญราคาถูกสุดๆ..แวะมาแล้วรับรองจะติดใจ 

      
  
          ทอดสายตามองไปไกลสุดหล้า  
      สกุนาบินวนจนลับหาย
      คลื่นซัดสาดกระทบฝั่งพังทลาย
      เสียงพระพายกระซิบซ่านสะท้านทรวง

          แสงสุรีย์สีสุดท้ายมลายลับ
      รัตติกาลเคลื่อนขับจากแดนสรวง
      ดาริกาพรายพร่างสว่างดวง
      เวลาล่วงจวนดึกดื่นต้องคืนเรือน..
     

                               

     
      
           

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เกาะลอยศรีราชา


       เกาะลอยศรีราชา นับว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งของชลบุรี ที่นักทัศนาจรทั้งใกล้และไกลต่างคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี  เพราะยังจำได้เลยว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยที่ยังเรียนอยู่ีต่างจังหวัด อาจารย์เคยจัดมาทัศนศึกษาที่นี่  ไม่นึกว่าพอโตขึ้น..ชีวิตวัยทำงานจะได้กลับมาอยู่ที่เมืองชลบุรีแห่งนี้..

      
 
        เชื่อว่านักท่องเที่ยวผู้ที่เคยเดินทางไปเที่ยวเกาะสีชัง ต่างคงเคยแวะมาสถานที่นี้กันทุกคน เพราะเกาะลอยแห่งนี้ ถือเป็นท่าเทียบเรือที่ใช้สัญจรไปมาระหว่างเกาะสีชังกับแผ่นดินใหญ่

     
        

        หากเดินขึ้นไปบนเกาะลอย.. ท่านจะได้สัมผัสกับวิวสวยๆของท้องทะเล และสภาพทางภูมิศาสตร์ของเมืองศรีราชาได้อย่างชัดเจน  ด้วยความสูงกว่า 30 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับวิวสวยรอบด้าน
        ลองยืนหันหน้าออกสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ อ้าแขนรับลมทะเลที่พัดโชยเข้าหาฝั่ง มองท้องทะเลสีครามที่ทอดยาวออกไปสุดสายตา ภายใต้แผ่นฟ้าอันกว้างไกล ..             



                   
 
         เกาะลอยแห่งนี้ นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ของคนในพื้นที่   โดยเฉพาะในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์จะมีผู้คนไปใช้บริการกันมากเป็นพิเศษ ทั้งหนุ่มสาววัยทำงาน นักแสวงบุญ ไปจนถึงครอบครัวสุดหรรษา ที่มักพาลูกหลานมาวิ่งเล่นและปิ๊กนิกไปในตัว

           
      
       มาเที่ยวเกาะลอย นอกจากจะได้พักผ่อนหย่อนใจแล้ว ยังได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำที่นี้ โดยเฉพาะองค์โพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งเป็นองค์ที่ใหญ่และสวยงามมากไม่แพ้ที่ไหนเลย..



  
              
           บริเวณโดยรอบยังมีสถานที่ให้นั่งพักผ่อน มีร้านอาหารทะเล และร้านขายของที่ระลึกใว้บริการนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน หรือหากใครสนใจจะข้ามไปเที่ยวเกาะสีชัง ก็แค่จอดรถใว้แล้วเดินไปซื้อตั๋วรอขึ้นเรือ
ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก..




        หากเพื่อนๆมีโอกาศแวะมาชลบุรี ก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมเยือนเกาะลอยศรีราชาแห่งนี้บ้างนะครับ  
  เส้นทางคร่าวๆ :  จากตัวเมืองชลบุรี มาตามถนนสุขุมวิท ผ่านตลาดหนองมน ตรงมาถึงบางพระ มุ่งหน้าเข้าศรีราชา  เลยช่วงโรงเรียนดาราสมุทรจะมีแยก ให้เตรียมเลี้ยวขวา หรือดูป้ายข้างทาง แล้วตามป้ายไป.. (ถ้าไปไม่ถูก ก็จ้างมอไซด์วินนำทางแล้วกัน..อิอิ  )



     
      "ชีวิต..ที่ยังต้องดิ้นรน ผู้คนที่ยังต้องพบเจอ.. "   อย่ามัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้รางวัลกับชีวิตตัวเองบ้างนะครับ...
                                                         

   
                


    

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แหลมแท่น ชลบุรี

      แหล่มแท่น เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความนิยม โดยเฉพาะคนในพื้นที่ มักพาครอบครัวมาปิ๊กนิกในยามเย็น ภายใต้แสงไฟสลัวๆ ลมทะเลพัดโชย หอบกลิ่นไอทะเลสัมผัสผิวกาย ให้บรรยากาศแบบครอบครัวๆ ไปอีกแบบ

    
           ลมทะเลยามเย็นพัดไล่หลังระลอกคลื่น ที่ซัดสาดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหินส่งเสียงดังเป็นจังหวะ เกิดท่วงทำนอง..ดั่งธรรมชาติกำลังหยอกล้อเเล่นกัน บ้างครั้งเงียบสงบ บางคราเร้าร้อนรุนแรง กระเซ้าถึงยอดมะพร้าวริมฝั่งให้ลู่เอน หวั่นไหนตามแรงลม..



           จุดนี้เป็นดั่งอนุสรณ์สถาน ใจกลางแหลมแท่น ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำที่นี่ก็ว่าได้ บริเวณโดยรอบโล่งกว้าง ทิวทัศน์สวยงาม สบายตา เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนตอนตะวันยอแสงในยามเย็นยิ่งนัก ...    
             
           
              

        ลองหาเวลา พาครอบครัว และคนรู้ใจมาสัมผัสบรรยากาศยามเย็นที่แหล่มแท่นสิครับ.. รับรองว่าเพื่อนๆจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน  เพราะที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบางแสน และเขาสามมุขมากนัก (เรียกว่าอยู่ติดกันก็ได้) แถวนี้ยังมีร้านอาหารอร่อยๆหลากสไตล์หลายร้านให้ลิ้มลองอีกด้วย..



                 

            ดวงตะวัน ยอแสง อ่อนแรงล้า
        ทอดสายตา มองไป ไร้จุดหมาย
        ลมทะเล โชยพัด สัมผัสกาย
        แสงสุดท้าย หายลับ เหงาจับใจ
             
           ดวงนีออน สะท้อนสี แทนที่แสง
       ดั่งจำแลง วิมานแมน แดนสวรรค์
       ระยิยระยับ วับวาว ดูพราวพรรณ
       ให้กระสัน สดชื่น คืนเหาใจ...



   
        
      

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร

   เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจของชลบุรี เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมแห่งพุทธศิลป์ อันวิจิตรสวยงาม เหมาะสำหรับชาวพุทธผู้แสวงหาธรรม หวังกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บูชาพระบรมสารีริกธาตุ มหามณฑป และที่สำคัญ ยังมีหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนพ่อแม่ครูอาจารย์สายวิปัสนา ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอริยะทั้งนั้น (ตรงนี้เขาห้ามบันทึกภาพ)  ทั้งยังเปิดรับผู้สนใจปฏิบัติธรรมให้เข้าพักได้ แต่ต้องติดต่อจองล่วงหน้่าก่อนนะครับ..

                                     

            

พัทยาราตรี


        เชื่อว่าัยังมีหลายคนที่เกิดและโตอยู่ที่ชลบุรี  รวมถึงชนชั้นแรงงานที่ย้ายตัวเองเข้ามาทำมาหากิน จนเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่  ยังไม่มีโอกาศสัมผัสทุกซอกหลืบ และมุมมองอันสวยงามที่ซ่อนเร้นรอการมาเยือน

         ถ้าเพื่อนๆยังไม่มีโอกาศและเวลาก็ไม่เป็นไร ลองทัศนาสถานที่ตัวอย่างจากblogของผมก่อนแล้วกัน ไว้มีโอกาศค่อยมาสัมผัสด้วยตัวท่านเอง..
 

 

พัทยาราตรี :   หลังอาทิตย์อัสดง เมื่อแสงสุดท้ายแห่งดวงตะวันจมลับหายลงสู่ก้นทะเล..
ความ มืดแห่งรัติกาลแผ่ปกคลุมพื้นปฐพี แสงวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ประดิษฐ์ถูกจุดขึ้นทดแทนส่องสว่างเรียงรายประดับ ประดาตามหัวมุมถนนและตึกสูงใหญ่ ดูตระการตายิ่งนัก มองไปคล้ายดั่งแดนสวรร์




      
      
         พัทยาในยามค่ำคืนก็เฉกเช่นกัน เมื่อมองลงมาจากจุดชมวิวบนศาลกรมหลวงชุมพร(เสด็จเตี่ย) ยิ่งแลเห็นความสิวิไลอลังการแห่งนครที่ไม่เคยหลับไหล ได้อย่างแจ่มชัดยิ่ง..

         แสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง ส่องสะท้อนกับท้องทะเลที่แกว่งไกวไปมาจากคลื่นลูกแล้วลูกเล่า ส่งให้เกิดแสงระยิยระยับ พริ้วไหว สอดประสานกับเสียงดนตรีที่ขับกล่อมนักท่องเที่ยวบนเรือสำราญริมฝั่ง  ฉากหลังถูกตกแต่งไว้ด้วยแสงสปอร์ตไลต์ที่สาดขึ้นสู่ท้องฟ้า กวาดลำแสงไปมา อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย..  ยิ่งพิศยิ่งเพลิน  เหมาะสำหรับคู่หนุ่มสาวที่หาบรรยากาศโรแมนติกส์ สวยๆ ดูดดื่มบรรยากาศ ลมเย็นๆ และถือโอกาศกราบสักการะ ขอพรเสด็จเตี่ยไปด้วย ..

        ถ้ามีโอกาศอย่าพลาดนะครับ ลองแวะไปดู แล้วจะรู้ว่า ชลบุรียังมีดีให้คุณชม..