ทิวาวานผ่านไปไวเหมือนฝัน แต่บางวันเนิ่นนานปานอะสงไข
สุขฤๅทุกข์ล้วนกำเนิดเกิดที่ใจ ปล่อยวางได้จึ่งวิมุติหลุดร้อนรน..
อีกไม่นาน..ปีเก่าก็จะผ่านพ้นไป ปีใหม่ย่างเข้ามาแทน แม้ปีนี้ความหนาวเย็นแห่งเหมันต์ฤดูจะมาเยือนช้าไป ..ต้นเดือนธันวาคมแล้ว ลมหนาวก็ยังไม่พัดผ่าน แม้จะยังไม่หนาวสักเท่าไร แต่ยังงัยปีนี้ก็จะขอเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องแอร์ ออกไปกางเต้นท์นอนนับดาวสักคราวก่อนสิ้นปี..
ทริปนี้ นายMKจะพาเพื่อนๆไปสัมผัสบรรยากาศเย็นสบายๆ ที่เมืองกาญจฯ แถวสังขละบุรี เชื่อว่าหลายคนที่เคยไปมาแล้ว ยังคงความประทับใจในมนต์เสน่ห์และวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นอย่างไม่เสื่อมคลาย..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ออกเดินทางจากชลบุรีประมาณตีห้ากว่าๆ กะว่าจะไปให้ถึงตัวเมืองกาญจนบุรีสักแปดโมงเช้า แต่พลขับ(ข้าพเเจ้าเอง) ดันพาคณะทัวร์หลงวนอยู่บนทางด่วนหาทางลงไม่เจอ..(ไม่มีGPS นำทางอ่ะ) กว่าจะหลุดทางด่วนลงมาได้ก็จวนเจ็ดโมงครึ่ง จากประสบการณ์เฟอะฟะที่ไม่ได้วางแผนเดินทางล่วงหน้านี้ ก็เลยถือโอกาสแนะนำเส้นทางจากชลบุรี กาญจนบุรี ถึงสังขละบุรีใว้ในตอนท้ายทริป ..
น้ำตกไทรโยคน้อย
ออกจากตัวเมืองกาญจนบุรีมาประมาณ50กิโลเมตร จะพบป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยว "น้ำตกไทรโยคน้อย" อยู่ติดกับถนนพอดี ถ้าใครจะไปทองผาภูมิหรือสังขละบุรีแนะนำให้ลองแวะชมที่ก่อนนะครับ เพราะอยู่ติดทางหลวงหมายเลข323 ใช้เวลาแวะไม่นานนัก..
น้ำตกไทรโยคน้อย เดิมเรียกว่า น้ำตกเขาพัง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จประพาทบริเวณน้ำตกไทรโยคน้อย
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2ระหว่างปี พ.ศ. 2484-2488 กองทัพญี่ปุ่นได้ก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะจากกาญจนบุรีผ่านน้ำตกไทรโยคน้อย เข้าสู่ประเทศพม่า และในปีพ.ศ.2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จประพาทโดยทางรถไฟมายังน้ำตกแห่งนี้ ปัจจุบันน้ำตกไทรโยคน้อยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี
เดินแวะชมน้ำตก เก็บภาพบรรยายกาศผู้คน ถ่ายรูปกับทางรถไฟสายมรณะ ไม่นานจึงเดินทางกันต่อ.. (ช่วงนี้น้ำไม่ค่อยมี น้ำตกจึงดูไม่สวยสักเท่าไหร่ เลยไม่ได้เอารูปมาลงให้ดูครับ)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
น้ำพุร้อนหินดาด
หลังจากแวะชมบรรยากาศบริเวณน้ำตกไทรโยกน้อยกันแล้ว ก็ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่อ.ทองผาภูมิ ขับมาตามทางหลวงหมายเลข 323 ประมาณ 70 กิโลเมตร พบสถานที่ท่องเที่ยวหน้า
สนใจอีกแห่ง นั่นคือ น้ำพุร้อนหินดาด เลยตีไฟเลี้ยวขวาเข้าไป ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่มากนัก
น้ำพุร้อนหินดาด เดิมเรียกว่าน้ำพุร้อนกุยมั่ง บังเอิญถูกค้นพบโดยทหารญี่ปุ่นที่เกณฑ์เชลยศึกให้สร้างทางรถไฟสายมรณะในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เชื่อกันว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้หลายอย่าง เช่นโรคเหน็บชา โรคไขข้ออับเสบ ซึ่งมีนักท่องเทียวเดินทางมาเที่ยวชมและอาบน้ำแร่กันเป็นจำนวนมาก
วันนี้ก็เช่นกัน มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่งมาอาบน้ำแร่กันหนาตาเลยทีเดียว หากจะลงไปอาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อนต้องเสียค่าธรรมเนียม 10บาท/คน ซึ่งนับว่าไม่แพงเลยครับ..
สายน้ำแร่ใสสะอาดจนมองเห็นพื้นหินข้างล่าง ..ผู้คนต่างกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นน้ำ บ้างก็ลงแช่ทั้งตัว ที่กล้าๆกลัวๆก็แช่เพียงแค่ขา (คงกลัวเปียกอ่ะครับ..)
ลูกสาวใครหนอ..?
" สองนางแบบตัวน้อยคอยมองหา คุณแม่จ๋าอยู่ไหนนู๋ใจหาย
มีคนแอบมองหนูอยู่มากมาย กลัวสายตาพวกผู้ชายจะอ่านกิน.."
ว่าเป็นกลอนไปโน่น.. ไม่รู้ลูกสาวใคร ขอยืมมาเป็นนางแบบหน่อยแล้วกันครับ..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
น้ำตกเกริงกระเวีย
ออกจาก น้ำพุร้อนหินดาด มาเกือบ30 กิโลเมตรก็เข้าสู่เขต อ.สังขละบุรี พบน้ำตกอีกแห่งที่น่าสนใจอยู่ติดถนน 323 ทางผ่านเหมือนกัน "น้ำตกเกริงกระเวีย" นั่นเอง เลยถือโอกาสแวะพักและงีบหลับเอาแรงสักตื่น เพราะออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย (ถือคติ ง่วงไม่ขับ เดี่ยวหลับไม่ตื่นอ่ะครับ..)
ระหว่างแวะพักเลยถือโอกาสเก็บภาพ น้ำตกเกริงกระเวีย มาฝากเพื่อนๆด้วย แม้จะดูไม่อลังการ แต่บรรยากาศรอบๆน้ำตกก็ดูร่มรื่น น่าทัศนาและเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนัก..
มองไปเห็นมีเด็กๆเล่นน้ำอยู่สองสามคน เลยลองระเบิดซูมดู ก็ได้ภาพที่แปลกตาไปอีกแบบ..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ป้อมปี่ (อุทยานแห่งชาติเขาแหลม )
ด้วยว่าทริปนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เลยจองห้องพักไม่ทัน เพราะโทรเช็คที่สังขละบุรีห้องพักและรีสอร์ทเต็มหมดแล้ว คืนนี้ก็เลยต้องนอนตากลมชมดาวกัน..
จุดหมายที่เราจะนอนปักหลักพักค้างแรมกันคืนนี้ก็คือ "ป้อมปี่" ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม (มีบางคนในกลุ่มทะลึ่งเปลี่ยนชื่อให้เขาใหม่เป็น เป่าปี่ ,เล่าปี่ และที่แย่สุดคือ ป้อมปิ๊.. เสียหายเขาหมดเลยอ่ะ ) ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากน้ำตกเกรียงกระเวีย มากนัก ประมาณ10กิโลเมตร..
สำหรับค่าผ่านด่านเข้าในเขตอุทยานฯ ป้อมปี่ รวมค่าที่พักกางเต็นท์ ตกคนละ30 บาท เจ้าหน้าที่ที่นี่ให้คำแนะนำและมีน้ำใจต่อนักท่องเที่ยวค่อนข้างดี จากการสอบถามทราบว่าข้างในมีร้านค้า ขายอาหารให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำแยกชายหญิงสะดวกสบายพอสมควรครับ..
แม้ลานจอดรถจะอยู่ไกลจากจุดกางเต๊นท์พอสมควร (ห้ามเอารถเข้าไปที่จุดกางเต๊นท์ ) แต่ที่นี่ก็มีรถเข็นใว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวหลายคัน เพื่อใช้ขนสัมภาระ(Self service..ไม่คิดค่าบริการ )
จุดชมวิวป้อมปี่ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพักหลังจากได้ไปเที่ยวชม อ.สังขละ เนื่องจากสถานที่เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างมาก ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกดินในได้อย่างสวยงามในยามเย็น อีกทั้งผู้คนที่ได้ไปพักนิยมลงไปเล่นน้ำในบริเวณตีนเขา เนื่องจากมีบริการเรือแคนนู และห่วงชูชีพ อีกทั้งมีบริการที่พัก ร้านอาหาร จึงทำให้ผู้คนหลั่งไหลมาพักที่นี่ค่อนข้างมาก ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ..
บรรยากาศริมน้ำ ณ จุดชมวิวป้อมปี่ ในยามเย็น มีนักท่องเที่ยวมารอดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า บ้างก็ลงเล่นน้ำใกล้ๆบริเวณจุดชมวิว..
ยิ่งดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า บรรยากาศที่จุดชมวิวป้อมปี่ ยิ่งดูมีเสน่ห์ แทบไม่อยากละสายตา แสงสีทองที่สะท้อนบนผิวน้ำดูลึกลับ สวยงามน่าค้นหาและชวนมอง..
ภาพนี้ชวนให้นึกถึงกาพย์ยานี11สมัยเรียน..
" รอนรอนอ่อนอัสดง
พระสุริยงเย็นยอแสง
ช่วงดังน้ำครั่งแดง
แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร "
ดวงอาทิตย์อัสดง.. กำลังสั่งลาผืนป่าและท้องธารา ส่องแสงสีแดงเรื่อ อ้อยอิ่งลูบไล้แผ่นน้ำ และขุนเขาอย่างแผ่วเบา ราวปลอบประโลมคนรักก่อนจากลา..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สะพานมอญ สังขละบุรี
ค่ำคืนที่เงียบสงบและเย็นสบายล่วงไป ณ ป้อมปี่ ผ่านพ้นราตรีเข้าสู่วันใหม่.. วันนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีกแล้ว เพราะตั้งใจจะไปให้ทันใส่บาตรที่สะพานมอญ อ.สังขละบุรี ซึ่งระยะทางจากป้อมปี่ถึงสังขละบุรีประมาณ30กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง เพราะเส้นทางค่อนข้างลาดชันและคดเคี้ยวพอสมควร..
เราออกจากป้อมปี่ราวๆตี 5 มาถึงสะพานมอญเกือบ6โมงเช้า วันนี้หมอกลงหนาเป็นพิเศษยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองสังขละบุรี - สะพานมอญ ยิ่งต้องชะลอความเร็วลงและจอดแวะข้างทาง เพราะมองไม่เห็นทางข้างหน้า..
“สะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์” ถือว่าเป็นสะพานไม้ ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างเมื่อปี 2527 ซึ่งถือได้ว่าเป็นสะพานที่เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของชาวไทยและชาวมอญ เลยทีเดียว.. สะพานแห่งนี้ นอกจากจะเป็นเครื่องหมายแห่งพลังศรัทธาแล้ว ยังเป็นเส้นทางในการไปมาหาสู่ระหว่างทั้งสองฝั่ง ทั้งทำมาค้าขาย แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ซึ่งก้อเป็นวิถีชีวิตที่คงจะคุ้นตาสำหรับนักท่องเที่ยวหลายๆ คนที่เคยมาเยือนที่แห่งนี้
สะพานนี้มีชื่อเป็นทางการว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ รถยนต์ข้ามไม่ได้ ต้องเดินข้าม จอดรถทิ้งไว้ เดินข้ามลำน้ำซองกาเรีย ซึ่งจะเดินข้ามไปยังชุมชนชาวมอญ สะพานยาว 850 เมตร เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย บริเวณสะพานนี้เป็นจุดชมวิวที่จะมองเห็น ๓ แม่น้ำ มาบรรจบกันคือ แม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ไหลมารวมกันจึงเรียกว่า "สามประสบ"
บรรยากาศยามเช้าที่สะพานมอญวันนี้ ดูเงียบสงบแต่แฝงความขรึมขลังแห่งมนต์เสน่ห์ของ สะพานไม้แห่งศรัทธาที่ทอดยาวข้ามผ่านแม่น้ำซองกาเรีย อันเป็นเสมือนสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงชาวไทยและชาวมอญเข้าด้วยกัน..
ประมาณ6โมงครึ่ง พระเริ่มออกบิณฑบาตร ซึ่งมีญาติโยมพี่น้องชาวมอญมานั่งรอใส่บาตรกันอย่างเป็นระเบียบ อันเป็นกิจวัตรประจำวันที่คุ้นตา ..
วันนี้มีนักท่องเที่ยวมารอใส่บาตรกันค่อนข้างหนาตา คงเพราะตรงกับวันหยุดยาว นักท่องเที่ยวจึงเยอะเป็นพิเศษ ยิ่งสายผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลกันมา..
การใส่บาตรของชาวบ้านที่นี่ จะใส่แต่ข้าวสวยกัน ส่วนกับข้าวนั้นจะตามไปใส่ที่วัด มีเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ใส่พร้อมกับข้าวคาวหวานกัน เพราะไม่สะดวกที่จะไปถวายอาหารที่วัดกัน.
เอกลักษณ์หรือจะเรียกว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวของพี่น้องชาวมอญที่เรามักเห็นและคุ้นตากันอย่างหนึ่งก็คือ การทูนหรือแบกของใว้บนหัว อย่างเจ๊คนนี้ แกทูนหม้อข้าวบนหัวเดินโชว์กลางตลาดเลยครับ..
หลังจากอิ่มบุญจากการทำบุญใส่บาตรกันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องอิ่มท้องกันบ้าง.. เช้านี้เราได้ปาท่องโก๋กับน้ำร้อนรองท้อง ส่วนน้ำเต้าหู้สั่งมาแต่กินกันไม่ลง เพราะเย็นชืดสนิท สงสัยน้ำจะร้อนไม่ทันหรือไม่ก็ต้มใว้นานเกินไป...
ได้ปลาท่องโก๋รองท้องประทังหิว ก็พอมีแรงเดินชมบรรยากาศบนสะพานมอญกันต่อ เพื่อสัมผัสกลิ่นไอและวิถีชีวิตชาวมอญในยามเช้า..
เก็บภาพประทับใจ ในมุมต่างๆบนสะพานมอญ.. ท่ามกลางไอหมอกสีควันบุรีที่ค่อยๆจางหายไปเมื่อแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า..
เดินทอดน่องไปตามสะพานไม้แห่งศรัทธา เหลียวแลลงไปเบื้องล่างสายน้ำแห่งชีวิตยังคงไหลเรื่อย.. สามประสบมาบรรจบกันต่างบอกเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตผู้คนที่ไหลผ่าน..
หลังดื่มด่ำบรรยาศบนสะพานมอญกันพอแล้ว ก็ได้เวลาล่องเรือชมUnseen in Thailand เมืองใต้บาดาล ซึ่งสามารถติดต่อเช่าเรือได้ที่ใต้สะพานมอญ ราคา300บาท/เที่ยว ใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณครึ่งชั่วโมง
ระหว่างทางไปชมเมืองบาดาลหรือวัดจมน้ำ จะมองเห็นยอดเจดีย์พุทธคยาจำลองอยู่ไม่ไกลนัก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วัดวังก์วิเวการามเก่า หรือวัดจมน้ำ เดิมตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย เมื่อมีการสร้างเขื่อนเขาแหลม วัดและชุมชนเก่าจึงจมอยู่ใต้น้ำเมื่อฤดูแล้งมาถึง ระดับน้ำลดลงมากจึงสามารถเห็นวัดเก่าได้อย่างชัดเจน
สำหรับ "วัดวังก์วิเวการาม"หรือ "วัดหลวง พ่ออุตตมะ" เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้น ในปี พ.ศ.2496 ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรี ประมาณ 220 กิโลเมตร
ในระยะแรกมีเพียงกุฏิและศาลา มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ 3 สาย คือแม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ แม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกัน
ในปี พ.ศ.2505 ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาให้ใช้ชื่อว่า วัดวังก์วิเวการาม ซึ่งตั้งตามชื่ออำเภอเดิม คืออำเภอวังกะ-สังขละบุรี ซึ่งต่อมาถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอ ก่อนที่จะยกฐานะเป็น อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ.2508
วัดวังก์วิเวการาม ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบพม่า มีพระพุทธรูปหินอ่อน และ งาช้างแมมมอธ มีเจดีย์พุทธคยาจำลอง สร้างจำลองแบบจาก เจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยเริ่มก่อสร้าง พ.ศ.2518 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2529 สะพานมอญ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวประมาณ 900 เมตร
เมื่อ พ.ศ. 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งเมื่อกักเก็บน้ำแล้ว น้ำในเขื่อนเขาแหลมจะท่วมตัวอำเภอเก่ารวมทั้งบริเวณหมู่บ้านชาวมอญทั้งหมด ทางวัดจึงได้ย้ายมาอยู่บนเนินเขาในที่ปัจจุบัน หลวงพ่ออุตตมะได้จัดสรรที่ดินของวัดวังก์วิเวการามให้ชาวบ้านครอบครัวละ 30 ตร.ว.
ส่วนบริเวณวัดหลวงพ่ออุตตมะเดิม ปัจจุบันพระอุโบสถหลังเก่าจมอยู่ใต้น้ำ และมีชื่อเสียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand เป็นที่รู้จักในชื่อว่า วัดใต้น้ำ สังขละบุรี
ตอนที่เรามาตรงกับช่วงที่น้ำลดพอดี จึงอดชมวัดจมน้ำ เพราะบริเวณโดยรอบวัดกลายเป็นเกาะแก่ง อยู่บนพื้นดิน สามารถเดินเข้าไปชมสภาพภายในพระอุโบสถหลังเก่าได้โดยไม่ต้องดำน้ำลงไปดู
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วัดวังก์วิเวการาม (ใหม่)
วัดวังก์วิเวการาม อยู่เลยจากตัวอำเภอสังขละบุรีไปประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นวัดจำพรรษาของ
“หลวงพ่ออุตตมะ” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งชาวกระเหรี่ยงและพม่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
ภายในวิหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อขาว จาก วัดวังก์วิเวการาม แยก ไปอีก 1 กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของเจดีย์แบบพุทธคยามีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวา ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร
รูปหมือนหุ่นขี้ผึ้ง หลวงพ่ออุตมะ ศูนย์รวมจิตศรัทธาของชาวไทย พม่า และกระเหรี่ยง แห่งสังขละบุรี..
วัดวังก์วิเวการาม ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบพม่า ทรงคุณค่าทั้งด้านศิลปะสถาปัตยกรรมและความงดงาม อยู่คู่ศรัทธาแห่งพุทธศาสนิกชนอย่างมิเสื่อมคลาย..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทางรถไฟสายมรณะ สะพานข้ามแม่น้ำแคว
ขากลับจากสังขละบุรี ตั้งใจจะแวะชมสะพานข้ามแม่แคว และทางรถไฟสายมรณะ ที่ตัวเมืองกาณจนบุรี ซึ่งวันที่เรากลับตรงกลับงานกาชาดจังหวัด และงานสะพานข้ามแม่น้ำแคววันสุดท้ายพอดี..
ก่อนเข้าเมืองกาญฯ แวะเก็บภาพที่ถ้ำกระแซ ตรงรางรถไฟ ซึ่งข้างๆรางรถไฟจะมีถ้ำที่เคยเป็นที่พักของเชลยศึกเมื่อครั้งสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะ จากไทยไปพม่า ตัวถ้ำติดกับเส้นทางรถไฟสายกาญจนบุรี–น้ำตก วึ่งเป็นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันสิ้นสุดที่สถานีรถไฟน้ำตก ภายในถ้ำโปร่งและมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่ มองจากปากถ้ำมาที่บริเวณทางรถไฟจะเห็นทิวทัศน์ที่งดงามและมองเห็นแม่น้ำแคว น้อยอยู่เบื้องล่าง บริเวณนี้เป็นจุดที่สร้างทางรถไฟยากที่สุด เนื่องจากเส้นทางโค้งเลียบเขา
ออกจากถ้ำกระแซมาไม่ไกล ก็เข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี เพื่อเยี่ยมชม "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" ซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่เราจะแวะก่อนเดินทางกลับชลบุรี
สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คน และกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดียอีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า
ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองสะพานข้ามแม่น้ำแควเดิมได้รับความเสียหาย และรัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมใหม่ ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง เมื่อปี พ.ศ. 2489 จนสามารถใช้งานได้ดังเดิม ปัจจุบัน มีการยกย่องให้สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ..
เก็บภาพแสงสีบนสะพานข้ามแม่น้ำแควมาฝากเพื่อนๆ.. เสียดายที่มาวันสุดท้ายของงานเลยอดชมดอกไม้ไฟสวยๆ รวมถึงแสงสีเสียงที่จัดแสดงข้างๆสะพานด้วย เพราะวันนี้เขาเริ่มรื้อเวทีกันบ้างแล้ว
ปิดท้ายทริปกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ-สังขละบุรี ด้วยภาพแสงสีของสะพานข้ามแม่น้ำแคว อันเป็นสัญลักษ์แห่งมิตรภาพ..
ใกล้ปีใหม่แล้ว ก็หวังว่าจะได้เห็นมิตรภาพของพี่น้องชาวไทยในปีหน้ากันนะครับ..
++ สถานที่ท่องเที่ยวของ จ.กาญจนบุรีมีค่อนข้างเยอะ ด้วยเวลาอันจำกัดเพียงสองวันหนึ่งคืน ทำให้เที่ยวได้ไม่ครบ ใว้คราวหน้าจะหาเวลาไปreviewอีกครั้ง..แล้วจะupdateให้เพื่อนๆอีกครั้งครับ..
**************************************************************
เส้นทางไปสังขละบุรี
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่าน จ.นครปฐม ขับมาประมาณ 9 กม.จะพบสะพาน ลอยข้ามไปทาง จ.กาญจนบุรี ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ขับมาประมาณ 7 กม.ท่านจะพบสี่แยกให้ท่าน เลี้ยว ขวา(แยกซ้ายไปบ้านโป่ง ตรงไปคือถ้ำค้างคาว) เพื่อไปยัง อ.เมืองกาญจนบุรี จากนั้นมุ่งหน้าสู่สี่แยกแก่ง เสี้ยนให้ขับไปทาง อ.ทองผาภูมิ ซึ่งจะผ่านทั้งไทรโยคน้อย และไทรโยคใหญ่ ( หลักกิโลเมตรที่ 125 ทางหลวง หมายเลข 323 ) ท่านจะพบสามแยก ( ตรงไปไปอำเภอทองผาภูมิ +เขื่อนเขาแหลม ถ้าเลี้ยวขวาไป อำเภอสังขละบุรี)ให้ท่าน เลี้ยวขวามือไป สังขละบุรี ซึ่งท่านจะผ่าน น้ำตกเกริงกะเวีย+น้ำตกไดช่องถ่อง ผ่านอช. เขื่อน เขาแหลม เมื่อไปถึงแยก ด่านเจดีย์สามองค์ ท่านไม่ต้องเลี้ยวขวา ให้ขับตรงไป ประมาณ 7 กม. จะพบแยก ซ้ายมือไปสะพานอุตตมานุสรณ์ ขับเข้ามาอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะพบสะพานอุตตมานุสรณ์ หากต้องการไป เที่ยววัดวิเววังการามจากแยกด่านเจดี่ย์สามองค์ไม่ต้องเลี้ยวขวาให้ขับตรงไป ประมาณ 7.4 กม.จะเห็นแยกขวา วัดวังก์วิเวการาม และแยกซ้ายไป เจดีย์พุทธคยา จำลอง ให้ท่านเลี้ยวซ้ายไปทางเจดีย์พุทธคยา จำลอง
สำหรับคนที่ไปจากชลบุรี แนะนำให้วิ่งเส้นกาญจนาภิเษก ที่ไปเชื่อมต่อวงแหวนตะวันตก หรือจะใขึ้นทางด่วนไปลงที่ดาวคะนอง ออกพระราม2 แล้วใช้เส้นทางเพชรเกษม เพื่อเข้าสู่นครปฐม แล้วจะเจอทางหลวงหมายเลข 323 เอง..
ที่พักบริเวณสังขละบุรี
- สามประสบ รีสอร์ท โทร. 0-3459-5050 http://www.samprasob.com
- พรไพลินริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท โทร. 0-3459-5355, 0-3459-5322 http://www.ppailin.com
- พี.เกสท์เฮ้าส์ แอนด์ คันทรี รีสอร์ท โทร. 0-3459-5061, 0-3459-5139 http://www.pguesthouse.com
- ฟอร์เกทมีนอท รีสอร์ท โทร : 034-595014-5
- พนธ์นที รีสอร์ท โทร. 0-3459-5134, 0-3459-5269
- ดอนคำ รีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำซองกาเลีย โทร. 08-1935-5932, 08-6323-1778
- เบอร์มิส อินน์ โทร. 0-3459-5556 http://www.sangkhlaburi.com
- ซองกาเลีย รีสอร์ท โทร. 0-3459-5023-4, 08-9927-5430, 08-6307-2736, 08-1834-5660 http://www.songkhaliaresort.com
- แพซองกาเลียน้อย โทร. 034-595396 , 08-1294-9308 http://www.songgarianoi.com
- แพผาผึ้ง ทะเลสาบเขาแหลม โทร. 0-2967-8181-4, 08-1944-0898, 08-1848-4469
- สังขละ การ์เด้นโฮม โทร. 0-3459-5007, 0-3459-5129, 0-3459-5229
- แพสมบูรณ์ โทร. 0-3459-5396
- แพมิตรสัมพันธ์ โทร. 0-3459-5261, 08-1812-7360
- ปอยหลวง รีสอร์ท โทร. 0-3459-5068, 0-3459-5207
- เจดีย์ เจมส์รีสอร์ท โทร. 0-3459-5337, 08-1816-6889, 08-1215-5847
- แพนาวาศิลาทอง โทร. 081-548-0146, 081-717-5721
- แพแสงจันทร์ฉาย โทร. 087-157-5112, 089-808-4018, 034-595144
- แพนกน้อย โทร. 034-532075, 086-174-1143, 089-210-8518
- เรนไชน์ รีสอร์ท โทร. 034-595-278 081-170-2109
ชมอาทิตย์อัสดงตรงป้อมปี่
ตอบลบตักบาตรที่สะพานมอญตอนรุ่งสาง
เที่ยวน้ำตกหลากหลายตามรายทาง
ถ่ายรูปรางรถไฟมาให้ชม..
ทริปนี้นางแบบสวยนะคะ จากคนที่ให้ฉายาเล่าปี่ อิอิ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบ