วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุ้มผาง แผ่นดินลอยฟ้า ตอนที่1

     เสียงหวีดหวิวของสายลมยามเช้าดังแว่วแหวกอากาศทะลุกระจกห้องนอนเข้ามา ปลุกให้เราตื่นจากนิทราอันแสนสุข  บรรยากาศอย่างนี้มันน่านอนนักเชียว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นละอองฝนสีขาวนวลปลิวฟลุ้งกระจายไร้ทิศทางแล้วแต่สายลมจะหอบหิ้วไป มองขึ้นไปเบื้องบนเห็นก้อมเมฆสีดำทะมึนกระจายตัวแผ่คลุมทั่วท้องฟ้าเกือบมืดมิด
      แม้จะผ่านเข้าหน้าฝนมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าพายุฝนจะหมดไปเสียที่  หากเป็นสมัยก่อนที่อยู่บ้านนอกพ่อคงดีใจไม่น้อย ที่เห็นฝนตกหนักอย่างนี้ แม้แต่เพียงได้เห็นก้อนเมฆเริ่มตั้งเค้าก็มีความหวังแล้ว..สำหรับชีวิตชาวนาอย่างเรา แต่ในเมืองอุตสาหกรรมอย่างนี้ กลับกลายเป็นอุปสรรคและความยากลำบากในการเดินทางสัญจรของชีวิตพนักงานที่หาเช้ากินค่ำอย่างเรา..


   สายฝนที่หล่นพรำ กับเดือนสิงหาคม... มองแล้วก็อดคิดถึงเดือนสิงหาคมของปีที่แล้วไม่ได้ ..

ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา...
         เช้าวันใหม่ของเดือนสิงหาคม  2555  .. เรายังคงนั่งสัปหงกอยู่บนเบาะหน้าด้านข้างคนขับ หลังจากที่นั่งหลับๆตื่นๆมาตลอดทั้งคืนตั้งแต่ออกจากชลบุรี มาจนถึงแม่สอด ไม่รู้ผ่านไปแล้วกี่โค้ง และยังเหลืออยู่อีกกี่โค้ง เพราะไม่มีใครใส่ใจจะนับ  ลำพังแค่ประคองอาหารเก่าในกระเพาะตัวเองไม่ให้ขย่อนออกมาทางเดิมก็ยากเต็มกลืนแล้ว 

       จากข้อมูลที่ได้มา เรารู้เพียงว่าจากตัวอำเภอแม่สอด ไปถึงอุ้มผางเขานับได้ 1219 โค้ง  แล้วนี่มันเหลืออีกกี่โค้งกันล่ะ?  คิดว่าทุกคนคงกำลังตั้งคำถามนี้ในใจ.. 


      สายฝนข้างนอกยังคงโปรยปรายเป็นระยะ บางช่วงของหุบเขามีเมฆหมอกล่องลอยผ่านราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ คงอีกไม่นานแล้วสินะ..จุดหมายปลายทางที่ตั้งตารอ   "อุ้มผาง  แผนดินลอยฟ้า"  ครั้งแรกในชีวิตที่จะได้มาเยือน   



     ผมเหลียวมองนาฬิกาที่ข้อมือเห็นเข็มสั้นชี้ที่เลข7  ..แสงสว่างยามเช้าค่อยๆไล่กลืนเงามืดแห่งรัตติกาลจนแทบไม่เหลือร่องรอย แม้เช้านี้จะดูอึมครึมไปบ้าง แต่ก็ช่วยให้มองเห็นถนนหนทางและทิวทัศน์สองข้างทางได้ชัดยิ่งขึ้น 


  
     เมฆสีขาวนวลลอยฟุ้งเป็นเส้นสายอ้อยอิ่ง คลอเคล้าทิวเขาที่สลับซับซ้อนอยู่เบื้องหน้า  สองข้างทางเขียวชะอุ่มไปด้วยไร่ข้าวโพดที่ยืนเรียงแถวตามแนวเขาเหมือนจะคอยต้อนรับผู้คนที่ผ่านไปมา  มองดูแล้วสบายตาและพาให้หัวใจสดใสคลายความเมื่อยล้าลงไปได้บ้าง
     เกือบ9โมงเช้า.. เราจึงมาถึงที่พัก  " ภูดอยแคมป์ไซต์"    หลังจัดการธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว เราไม่ปล่อยให้เวลาอันมีค่าหล่นหายไปแม้เพียงหนึ่งนาที  พวกเราจัดแจงขนอุปกร์สัมภาระ ขึ้นรถกะบะขับเคลื่อน4ล้อ มุ่งหน้าสู่ลำธาร เพื่อล่องไปสู่มหานทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย นั่นคือ .. " น้ำตกทีลอซู "  


    สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาเป็นระยะตลอดทางที่นั่งรถมา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรค์ที่จะทำให้เราถอดใจ ไหนๆก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาตั้งไกลสุดปลายฟ้านี้แล้ว คำว่าถอยไม่เคยมีในพจณานุกรรมฉบับคนชอบลุยอย่างพวกเรา 


   หลังจากจัดแจงแต่งตัวใส่ชุดชูชีพและลำเลียงแพยางลงน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาแห่งความหฤหรรษ์ กับการล่องแพชมวิวทิวทัศฯ และเลาะลัดไปตามแนวป่าเขา เพื่อไปชมความยิ่งใหญ่อลังการของมหานที "ทีลอซู"


    โชคดีของทริปนี้ที่เราได้น้องหมี(ที่ไม่มีใครอยากเห็น โดยเฉพาะคุณผู้หญิง) ซึ่งมีประสบการณ์มาเป็นไกด์และช่วยคัดหัวเรือเพราะบางช่วงต้องเจอกับกิงไม้ขวากหนามและท่อนซุงที่ต้องคอยหลบหลีก และบางช่วงน้ำไหลเชี่ยวแรงมาก ต้องชะลอและบังคับไม่ให้แพคว่ำ 




     เกือบบ่ายโมงเราจึงล่องเรือยางมาถึงหน่วยพิทักษ์ป่าผาเลือด และพักรัปทานอาหารมื้อเที่ยงกันที่นี้ ก่อนออกเดินทางต่อด้วยกระบะโฟว์วิว เพื่อมุ่งหน้าสู่ ทีลอซู  (ปกติถ้าเดินเท้าใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม.) 



    เส้นทางจากหน่วยพิทักษ์ป่าผาเลือดไปทีลอซู ปกติถ้าเป็นหน้าฝนจะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากนักเพราะต้องเดินเท้าเข้าไป ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง  แต่ถ้าเลยหน้าฝนไปแล้วรถยนต์สามารถวิ่งเข้าไปได้ ทำให้ช่วงเดือน พ.ย ไป จะมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะกว่าช่วงอื่นๆ  




     รถกะบะขับเคลื่อน4ล้อสัญชาติญี่ปุ่น พาเราฝ่าโคลนดินและหลุมลึกลุยมาตามเส้นทางแคบขรุขระและสูงชัน  บางช่วงเส้นทางขาดรถไม่สามารถผ่านไม่ได้ ต้องลงไปช่วยกับเข็น หรือวางถุงทรายเพื่อทำเป็นถนนให้ล้อสามารถตะกุยผ่านไปได้ 


  
   บางช่วงผ่านลำธารเล็กๆ ขวางกั้น ต้องขับลุยลงไป โดยอาศัยความชำนาญของคนในพื้นที่ และอาศัยที่ขับบ่อยๆทำให้รู้ไลน์ที่จะหมุนพวงมาลัยหลบเลี้ยวไปได้


     
     เกือบหนึ่งชั่วโมงแห่งเส้นทางสายทรหด  กะบะ4W ที่กลายเป็นกะบะชุบโคลน แทบไม่เหลือสภาพเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาให้ได้เห็น ก็ขับมาจอดสนิดนิ่งลงใกล้ทางเข้าอุทยานรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุ้มผาง น้ำตกทีลอซู

  
     จากนี้ไปต้องเดินเท้าเข้าไป อีกประมาณ 1.5  กิโลเมตร จึงจะถึงน้ำตกทีลอซู ที่ทุกคนดั้นด้นกันมาชมความยิ่งใหญ่อลังการ

  
     เส้นทางที่เดินเข้าสู่ตัวน้ำตกซื้นแฉะไปด้วยน้ำที่ขังเจิ่งนองเป็นระยะ ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าเมื่อคืนนี้มีพายุเข้าพัดเอาต้นไม้ล้มระเนระนาดกีดขวางทางเดิน



  
       เนื่องจากอยู่ในช่วงหน้าฝน อีกทั้งเมื่อคืนนี้ยังมีพายุฝนตกหนัก ทำให้น้ำตกยังขุ่น เหลือง และ ค่อนข้างแรงจนไม่มามารถใช้กล้องถ่ายได้จากระยะใกล้  เพราะไอน้ำที่เกิดจากการตกกระแทกลงมา ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ ทำให้ไม่กล้าเอากล้องออกมาเสี่ยงเก็บภาพน้ำตกอย่างที่ตั้งใจใว้แต่แรก เพราะเห็นมีกล้องคอมแพกหลายตัวที่ถ่ายกันใกล้น้ำตกถึงกับใช้งานไม่ได้   เราจึงได้เพียงยืนมองความอลังการของ มหานทีแห่งนี้ และดื่มด่ำบรรยากาศโดยรอบ เก็บบันทึกทุกซอกมุมที่มองเห็นด้วยตาเปล่าใว้ในความทรงจำว่าครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาเยือน "ทีลอซู" แห่งนี้

   
    หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศโดยรอบของน้ำตกทีลอซูจนเป็นที่พอใจแก่หมู่คณะแล้ว  ก็ถึงเวลาที่ต้องโบกมืออำลามหานที"ทีลอซู"  เสียที   พวกเราสัญญาว่าในชีวิตนี้จะต้องหาโอกาสกลับมาเยือนน้ำตกแห่งนี้อีกสักคราให้จงได้


     
      ภารกิจการเดินทางวันแรกของเราที่ "อุ้มผางแผ่นดินลอยฟ้า"  ได้สิ้นสุดลง ณ ตรงนี้   ยังเหลือเวลาอีก2วัน แห่งการเดินทางผจญภัยในป่าลึก โปรดติดตามตอนต่อไป.อุ้มผางตอนที่2 ล่องแก่งที่อุ้มผางคี  รับรอง สนุก โหด มัน ฮา แน่นอนครับ..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น