เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมาถือโอกาสลางานอันแสนจะน่าเบื่อ ด้วยตั้งใจจะเดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งเขาคิชกูฏและเดินทางแสวงบุญดังพุทธศาสนิกชนคนอื่นๆที่ไปกันมาแล้ว ปีนี้เขาคิชกูฏเปิดให้ขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. ไปจนถึง 4 เม.ย. ซึ่งอีกไม่กี่วันก็คงจะปิดให้ขึ้นแล้วสำหรับปีนี้
เมื่อ2ปีที่แล้วเคยไปมาครั้งนึง แต่ไปตรงกับช่วงวันหยุด คนแน่นมากครับ นับหลายหมื่นได้ แทบไม่มีที่จะยืน รอขึ้นเขาตั้งแต่3ทุ่ม ได้ขึ้นทีตอนตี3 ถ้าใครไม่มีจิตศรัทธาจริงๆขอแนะนำว่าอย่าไปในช่วงวันหยุดเลยนะครับ..
ควันธูปลอยคละคลุ้งส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วบริเวณศาลา..แถบสีแดงที่ปลายธูปแข่งกันเผาผลาญก้านตัวเองให้สั้นลงทุกขณะ ก้านแล้วก้านเล่าที่ถูกปักลงบนกระถาง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลจะรวบเก็บออกไป เพื่อเปิดทางให้ธูปก้านต่อไปได้มีพื้นที่ลงบนกระถาง..
เฉกเช่นชีวิตคนเรา วันเวลาที่ล่วงผ่านค่อยๆกัดกินสังขารกายให้เสื่อมถอยลงทุกขณะ เหมือนก้านธูปที่เผาไหม้ตัวเอง..ท้ายที่สุดก็ทิ้งใว้เพียงกลิ่นควันซึ่งเปรียบเหมือนความดีงามของคนเรา ก่อนจะจางหายไป..ในที่สุด
บางครั้งคนเราก็หลงลืมไปว่าการที่เราจะได้มาซึ่งอะไรบางอย่างนั้น หาใช่เกิดจากการอ้อนวอนขอแต่อย่างใด..ศาสนาพทุธ สอนหลักเหตุและผลใว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ผู้คนที่เรียกตัวเองว่าพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ๋กลับหันไปเชื่อเรื่องโชคลาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มากกว่าพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..
...ยังไม่จบ เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ.. ดูรูปกันไปก่อน
ยังเขียนไม่จบนะครับ เดี๋ยวมาต่อ ..ให้ชมรูปกันไปก่อน
______________________________________________________________________
ข้อมูลเพิ่มเติม
ตำนานรอยพระพุทธบาทเขาคิชกูฏ (พลวง) (ที่มา: http://www.mapculture.org )
นายติ่งและคณะได้ขึ้นบนเขาเพื่อไปหาไม้กฤษณามาขาย ได้ไปพักเหนื่อยบนลานหินกว้าง เพื่อนของนายติ่งคนหนึ่ง ได้ถอนหญ้าเพื่อนอนพักก็พบแหวนใหญ่ขนาดสวมหัวแม่เท้าได้ เเละเมื่อช่วยกันตรวจดูก็พบหินแผ่นหนึ่ง มีพื้นที่เป็นรอยรูปก้นหอย ต่อมานายติ่งและเพื่อนได้นำบุตรชายไปอุปสมบทที่วัดพลับ รุ่งขึ้นก็มีงานปิดรอยพระพุทธบาทจำลอง นายติ่งซื้อทองไปปิดแล้วจึงพูดว่าแถวบ้านตนก็มีรอยแบบนี้เช่นเดียวกัน พอดีมีพระได้ยินเข้าจึงไปเรียนให้เจ้าอาวาสวัดรับทราบ จึงเรียกนายติ่งเข้าไปสอบถามและส่งคณะขึ้นไปพิสูจน์ดู ก็เป็นความจริงและตรวจดูรอบๆบริเวณนั้น ก็พบสิ่งประหลาดมหัศจรรย์หลายอย่าง รอยพระพุทธบาทนั้นท่านทรงเหยียบจารึกไว้ที่ศิลาแผ่นใหญ่ บรรจุคนนั่งได้ร้อยกว่าคน บนยอดเขาสูงสุด กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรอยพระพุทธบาทมีหินกลมก้อนหนึ่งใหญ่มาก เรียกว่าหินลูกพระบาท ตั้งขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาดมหัศจรรย์ มองดูคล้ายลอยอยู่เฉยๆ มีคนกล่าวว่าเขาเคยเอาด้ายสายสิญจน์คล้องแล้วหลุดออกมาได้ และยังมีหินอีกลูกอยู่ตรงข้ามกับหินลูกพระบาทนี้ ก็มีรอยพระหัตถ์ไปรับหินก้อนนี้จากรอยพระพุทธบาทกับรอยพระหัตถ์นั้น ห่างกันประมาณ 5 เมตร และยิ่งแปลกไปกว่านั้น ในก้อนหินนั้นตรงกันข้ามกับรอยพระหัตถ์ ยังมีรูปรอยเท้าใหญ่ ซึ่งเรียกกันว่ารอยเท้าพญามาร เพียงแหงนหน้าขึ้นไปจะมองเห็นได้ทันที สูงประมาณ 15 เมตร ต่อจากนั้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือห่างจากหินลูกนี้ไปเพียง 15 วา มีหินลูกข้างบนเป็นลานและมองเห็นรอยรถหรือรอยเกวียน เมื่อยืนบนหินลูกนั้นมองลงไปทางทิศเหนือจะเห็นถ้ำเต่า หันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของรอยพระพุทธบาทจะเห็นถ้ำช้าง และถ้ามองจากรอยพระพุทธบาทขึ้นไปจะเห็นหินก้อนหนึ่งมีรูปลักษณะคล้ายช้าง จริง เลยจากช้างไปสูงสุดนั้นเรียกกันว่าห้างฝรั่ง เพราะฝรั่งได้ขึ้นไปตั้งห้างส่องกล้องเพื่อทำแผนที่ มองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ยังมีถ้ำอีกถ้ำหนึ่งเรียกว่าถ้ำสำเภา เพราะมีหินก้อนหนึ่งข้างบนถ้ำมีลักษณะคล้ายๆเรือสำเภา และยังมีอีกถ้ำหนึ่งใต้พระบาทนี้เรียกว่าถ้ำตาฤาษี
ที่มาของชื่อเขาคิชฌกูฏนั้น ในตำนานศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่า เขาคิชฌกูฎอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงราชคฤห์ แปลว่าภูเขาแร้งกระพือปีก มีคันธกุฎีอยู่บนยอดเขา และเคยเป็นสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าในอดีต เป็นความดำริของพระครูธรรมสรคุณซึ่งเป็นกรรมการและเป็นหลักในการพัฒนาพระบาท พลวงตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ได้เสนอใช้ชื่อ พระบาทเขาคิชฌกูฎ (พลวง) เหตุผลเพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่พุทธศาสนาเจริญกว่าเมืองไหนๆ แม้กระทั่งประเทศอินเดีย จึงน่าจะใช้ชื่อนี้เป็นที่ระลึกถึงพระบรมศาสดา ในทุกๆ ปีจะมีพิธีเปิดและพิธีปิดการขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำทุกปี (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ, 2544:97-99)
*****************************************************************
เที่ยวเดินทางแสวงบุญทุนชีวิต
ตอบลบคอยตามติดทางวิมุติพุทธศาสนา
เตรียมเสบียงใว้เลี้ยงตนคนเกิดมา
สู่โลกหน้าสักกี่ชาติไม่ขาดทุน..
ภาพสวยดี ไปไม่ยอมชวนกันเลย :D MiM
ตอบลบ