วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุ้มผาง แผ่นดินลอยฟ้า ตอนที่2

    สายฝนนอกหน้าต่างค่อยซาเม็ดลงไปบ้างแล้ว  เมื่อคืนนอนฟังเสียงเม็ดฝนหล่นกระทบหลังคาตลอดทั้งคืน  ประหนึ่งดุริยางค์จากสรวงสวรรค์ขับกล่อมผู้เดินทางจากแดนไกลให้หลับสนิทนิทราตลอดราตรีกาล หรืออาจเป็นเพราะความเมื่อยล้าจากการเดินทางก็เป็นได้ จึงทำให้แต่ละคนหลับไหลราวต้องมนต์ปี่พระอภัย..    

     เช้าวันนี้..เบื้องบูรพาทิศไร้วี่แววแห่งแสงเงินแสงทองที่เคยโผล่พ้นขอบฟ้ามาทักทายยอดไม้ ใบหญ้า และขุนเขาเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา นี่ถ้าไม่มีพายุฝนเช้าวันนี้เราคงได้เห็นแสงสีทองค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้าออกมาวิ่งไล้หยอกเย้ากับไอหมอกสีขาวนวลที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนยอดเขาที่มองเห็นอยู่ไกลโพ้น.. 
               หลังเสร็จสิ้นภารกิจตอนเช้าของทุกคนแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าสู่ต้นน้ำอันเป็นจุดกำเนิดแห่งสายธาร "อุ้มผางคี"  เพื่อปฏิบัติภารกิจตามกำหนดการที่วางใว้ของวันนี้ นั่นคือ การเดินป่าผ่าดงทาก เพื่อขึ้นไปล่องแก่งลงมาจากต้นน้ำ "อุ้มผางคี " นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางผจญภัยเล็กๆที่จะเติมเต็มรสชาติให้กับชีวิตที่เริ่มจืดซืดลงทุกวันกับงานประจำอันแสนน่าเบื่อของเรา..  
    
      สี่ล้อโฟว์วิวพาเราเคลื่อนผ่านหมู่บ้านเล็กๆหลายหมู่บ้านตลอดสองข้างทาง ทัศนาวิถีชีวิตของผู้คนแห่งขุนเขา สังเกตุเห็นบ้านชาวกระเหรี่ยงส่วนใหญ่ตั้งกระจัดกระจายห่างกันออกไปตามไหล่เขา บ้างก็ปลูกติดกันอยู่เป็นกลุ่มในแหล่งชุมชน เรานั่งทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างมีความสุขข้างๆคนถือพวงมาลัย นานๆทีได้มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งอย่างนี้ ได้สัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนต่างถิ่น เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเดินทางให้กับชีวิต ..

      บางครั้ง..ก็อดอิจฉาคนเหล่านี้ไม่ได้ กับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทำมาหากินเพียงเพื่อเลี้ยงปากท้องให้อิ่มไปวันๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ไร้พันธนาการทางสังคมที่มาคอยกดดันให้ทำโน่นทำนี่ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ทะยานอยากมากไปกว่าที่พวกเขาเป็น..

      
       ตามเส้นทางจากอุ้มผางที่มุ่งสู่ผื่นป่าใหญ่ จะมีลำธารเล็กๆไหลจากหุบเขาผ่านลงมาสู่หมู่บ้านประหนึ่งสายโลหิตที่คอยหล่อเลี้ยงผู้คนข้างล่างให้ได้ดื่มกินและอาศัยทำการเกษตร ตลอดเส้นทางระหว่างหมู่บ้านจึงมักเห็นสะพานไม้อยู่หลายแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งมีสภาพเก่าแก่ไม่ต่างกันนัก บ่งบอกถึงอายุและวันเวลาที่ได้ทอดตัวรับใช้ผู้คนที่ผ่านไปมา  ทุกครั้งที่รถเราเคลื่อนผ่านไปอดมองผ่านกระจกหลังด้วยความลุ้นระทึกใจไม่ได้ว่าจะข้ามพ้นไปได้โดยสวัสดิภาพหรือไม่..
     
     พอพ้นหมู่บ้านมาไม่นาน ก็มองเห็นเนินเขาสูงต่ำทอดตัวสลับซับซ้อนกันอยู่เบื้งหน้า ทุกอณูแห่งผืนดินและสองข้างทางปกคลุมไปด้วยสีเขียวสด  จนเราต้องปรับสายตาให้คุ้นชินกับสภาพสีแสงและความสวยงามที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ประหนึ่งว่าดินแดนแห่งนี้เป็นแผ่นดินสีเขียว  หรือจะเรียกว่า เขียวทั้งแผ่นดินก็คงไม่ผิด เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่สีเขียว เขียว และก็เขียว..
           ทอดสายตามองลงไปเบื้องล่าง.. ต้นกล้าสีเขียวสดกำลังแข่งกันแผ่กิ่งใบขึ้นมารับแสงอรุณและอากาศในยามเช้า เพื่อปรุงอาหารหล่อเลี้ยงกิ่งก้านใบให้งอกงาม แข่งกับวันคืนที่ผ่านไป ให้ทันกับฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่ใกล้เข้ามาถึในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า..
 

     
     ผ่านเขตทุ่งนามาไม่นาน  เราก็เริ่มไต่ระดับความสูงขึ้นสู่เนินเขา สองข้างทางยังคงปกคลุมด้วยสีเขียวจากไร่ข้าวโพด ทุกอณูของพื้นที่ไม่เหลือที่ว่างให้ความแห้งแล้งมาแทรกซึม ไม่ว่าจะเป็นเนินเขาหรือไหล่เขาที่สูงชันแค่ไหนก็ตาม จะต้องมีทุ่งข้าวโพดประดับประดาเขียวขจีอยู่ทุกที่ไป  


      เส้นทางค่อยๆเล็กลงทุกขณะ  จากถนนลาดปูน มาเป็นถนนลูกรัง และจากถนนลูกรังมาเป็นถนนดินโคลน ซึ่งถ้ามีรถวิ่งสวนมาจะต้องจอดแอบข้างทางชนิดที่เรียกว่าแอบสุดๆเพื่อให้อีกคันสามารถผ่านไปได้
     
     พอรถผ่านมาถึงจุดนี้ เหลียวมองลงไปเห็นกระท่อมน้อยหลังคามุงด้วยใบหญ้าสีเน้ำตาลซีดตั้งเด่นอยู่เดียวดายท่ามกลางสีเขียวสดของไร่ข้าวโพด  อดไม่ได้ที่จะขอให้คนขับรถจอดข้างทาง เพื่อจะขอเก็บภาพจากมุมนี้ โชคดีที่ไม่มีรถคันอื่นตามหลังมา จึงมีเวลาจัดมุมกล้อง และเก็บภาพได้จนพอใจจึงได้ออกเดินทางกันต่อไป..
           
        เบื้องล่างเริ่มมองเห็นหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงอยู่ลิบๆ คนขับบอกว่าใกล้ถึงจุดที่ต้องลงเดินเท้าต่อกันแล้ว 

    
    ถึงทางเข้าหมู่บ้านกระเหรียง "แปโดทะ " ปรากฎว่าสะพานไม้ขาด รถยนต์ข้ามไปไม่ได้ ต้องขับลุยน้ำผ่านเข้าไป โชคดีที่รถเราเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ถึงกระนั้นก็ยังอดลุ้นไม่ได้ว่าจะโดนกระแสน้ำซัดออกนอกเส้นทางหรือไม่..
     และแล้ว..เราก็มาถึงจุดพักแรมแห่งหมู่บ้านกระเหรี่ยง"แปโดทะ"  ถ้าเป็นหน้าหนาวจุดนี้จะเป็นที่นอนพักแรมของนักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่ง แต่เรามาหน้าฝนจึงต้องพักที่รีสอร์ทและนั่งรถมาลงที่นี่กัน  จากจุดนี้ไปจะต้องออกเดินเท้าเพื่อขึ้นไปที่ต้นน้ำ ."อุ้มผางคี"  ซึ่งเป็นจุดที่เราจะล่องแก่งลงมา  สัมภาระต่างๆตลอดทั้งแพยางจะใช้ช้างบรรทุกไป ส่วนคนต้องเดินตัดขึ้นเขาไปอีกทาง ให้ถึงจุดนัดพบประมาณเที่ยงวัน และจะพักทานมื้อเที่ยงกันที่นั่นก่อนล่องแก่งลงมา    
 
 

    ออกพ้นหมูบ้านกระเหรี่ยงมาไม่นานก็ผ่านไร่ข้าวโพด เดินชมวิวทิวทัศน์ ช่างเพลิดเพลินเจริญใจยิ่งนัก บ้างก็หยุดถ่ายรูป เก็บภาพความทรงจำกันเอาใว้ในช่วงที่ใบหน้ายังสดชื่นแจ่มใสไร้คราบเหงื่อไคล   โดยหารู้ไม่ว่าหนทางข้างหน้าที่รออยู่จะหฤโหดแค่ไหน..
  
    หนทางเริ่มสูงชัน บางช่วงต้องปีนป่ายไปตามโขดหิน ลัดเลาะไปตามลำธารเล็กๆ ซึ่งเป็นเสมือนเข็มทิศที่จะนำเราไปสู่ต้นกำเนิดแห่งสายธาร อันเป็นจุดหมายปลายทางของเรา
       ริมลำธารตามเส้นทางเดินจะเห็นตระไคร้น้ำสีเขียวสด แผ่ปกคลุมโขดหินสีน้ำตาลดำ ทำให้ทุกย่างก้าวที่เหยี่ยบย่ำไป ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเหยียบพลาดไป หากแข้งขาไม่โดนคมหินบาดจนโชกเลือด ก็อาจกลิ้งหล่นลงไปในหุบเขาเบื้องล่างก็เป็นได้
     เส้นทางบางช่วงเป็นทางราบให้พอได้พักหายใจและชะลอการทำงานของกล้ามเนื้อจากการปีนป่ายลงไปได้บ้าง แต่ก็ต้องเดินผ่าโคลนตมที่ชื้นแฉะ และโขดหินที่ลื่นแหลมคมด้วยความระมัดระวัง
    
     บางจุดเป็นซอกเขาแคบๆ พอให้ลำธารไหลผ่านได้ ต้นไม้แห้งหลายต้นถูกลมพายุพัดล้มขวางทาง ต้องมุดลอดขอนไม้ไปอย่างทุลักทุเล ถึงกระนั้นสาวๆที่ร่วมทริป ก็ไม่มีใครปริปากบ่นกันสักคำ(สงสัยบ่นในใจอ่ะ) ต่างก้มหน้าก้มตาเดิน มุด และคลานเข่า ต่อไปด้วยความมุ่งมั่น ถึงเวลานี้เสียงหัวเราะสดใสที่เคยได้ยินก่อนออกเดินทาง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มจนแก้มปริ ได้อันตธานไปจากทุกคนโดยไม่รู้ตัว  นี่คงแอบคิดกันล่ะสิว่า.. เรามาฝึก รด.ภาคสนามหรือมาท่องเที่ยวกันแน่..
     
     ตลอดเส้นทางจะเจอท่อนซุงล้มขวางอยู่เป็นระยะๆ ก็ต้องปีนป่ายข้ามกันไป ใครที่เริ่มหมดแรงปีนไม่ไหว ก็อาศัยเพื่อนช่วยดึงลากกันไปอย่างทุลักทุเล ..
    
    ผ่านดงไผ่ป่า..ต้นไผ่แห้งหลายต้นถูกน้ำซัดลงมาขวางทาง กระจัดกระจายตามแนวลำธาร เป็นอุปสรรคให้ต้องมุด ลอดและป่ายปีนข้ามไปอย่างยากลำบาก เพราะบางต้นมีกิ่งหนามแหลมคม พร้อมทิ่มทุกอย่างที่เคลื่อนผ่านเข้าไปสัมผัส 
    
     บางช่วงต้องปีนป่ายโขดหินที่ลื่นและสูงชัน ย้อนขึ้นไปตามแนวลำธาร พวกผู้ชายที่ปีนขึ้นไปก่อนต้องคอยฉุดดึงผู้หญิงข้างหลัง ส่วนคนที่อยู่ข้างล่างต้องคอยระวังช่วยดันอีกแรง หรือหากพลาดพลั้งหลุดล่วงลงมาก็จะคอยเป็นกระสอบทรายรองรับใว้อีกที..

    
ผ่านไปเกือบ2ชั่วโมง ก็พ้นช่วงลำธารที่ซื้นแฉะมาได้ เรา จึงหยุดพักเหนื่อยกันที่นี่  ไกด์คนนำทางบอกว่า..หนทางที่เหลือไม่มีลำธารให้เห็นอีกแล้ว แต่จะเป็นป่าดิบต้นไม้สูงใหญ่ ที่เต็มไปด้วย ฝูงทาก  จึง ต้องหยุดพักและจัดแจงแต่งตัวกันใหม่ให้มิดชิด รวมถึงติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันทาก นั่นคือ..ยาฉุน  หรือเส้นใบยาสูบเรานี่เอง อันเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยเอามาแช่น้ำแล้วถูกตามร่างกาย หรือเอาน้ำที่แช่มาบีบใส่ตามถุงเท้ารองเท้า แขน ขา คอ หัว ผม เรียกว่าทุกส่วนของร่างกายที่ทากจะกระโดดเกาะได้ ทามันให้หมด อย่างน้อยก็อุ่นใจแระ ว่ามีเครื่องรางป้องกันฝูงทากได้บ้าง ..
       รวมพลัง(Teen) ก่อนออกเดินทางตะลุยกันต่อ มาถึงครึ่งทางแล้ว แม้จะดูเหนื่อยล้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ทุกคนก็ยังพร้อมจะลุยต่อและไม่มีใครถอดใจ ..สู้เว้ย!!  (ร้องในใจอ่ะ )
     
      เส้นทางเริ่มสูงชันกว่าช่วงที่ผ่านมามากขึ้นเรื่อยๆ จากประสบการณ์ดูเหมือนว่าเรากำลังเดินข้ามภูเขาอยู่ เพราะหนทางลัดเลาะไปตามไหล่เขา บ้างปีนป่ายขึ้นเนินสูงชัน  แต่ปัญหาอยู่ที่สภาพเส้นทางที่ชื้นแฉะ และบางจุดเป็นดินเหนี่ยวอ่อนจากการซะโลมของน้ำฝนทำให้ลืนไถลลงมาอยู่บ่อยครั้ง

        เดินมาได้สักระยะ รู้สึกว่ากำลังขาที่ย่างออกไปแต่ละก้าวเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกขณะ เหมือนมีใครเอาโซ่ตรวนมาพันธนาการเอาใว้ แต่ก็ต้องกัดฟันก้มหน้าเดินต่อไปด้วยอายพวกผู้หญิงที่เดินนำอยู่ข้างหน้า
       
      จากทางสูงชันที่ต้องออกแรงก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวอย่าเต็มกลืน  ก็มาถึงทางลาดชันที่ต้องใช้กำลังขาพยุงน้ำหนักตัวเอาใว้ไม่ให้หัวทิ่มถลาลงไปข้างล่าง บางคนถึงกับต้องใช้ไม้ช่วยค้ำยันเพื่อพยุงตัวเอาใว้ และยังช่วยรับน้ำหนักที่ถ่ายไปข้างหน้าเวลาเดินลงเขาได้เป็นอย่างดี
    
      ตลอดสองข้างทางที่ก้าวผ่าน  ยังมีเรื่องราวอีกมากมายจนไม่อาจบอกเล่าได้หมด ธรรมชาติอันสวยงามท่ามกลางขุนเขา ดอกไม้ป่าหลายหลายชนิด อีกทั้งสิ่งชีวิตหลากสายพันธ์ที่คอยอาศัยผืนป่าแห่งนี้เป็นที่พิงพักหาอาหาร และดำรงเผ่าพันธ์มาเนิ่นนาน 
      หลายคนอาจตั้งหน้าตั้งตาเดิน เพียงเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง โดยลืมใส่ใจกับความสวยงามที่อยู่ระหว่างสองข้างทาง ลืมส่งรอยยิ้มทักทายให้กับดอกไม้และใบหญ้าที่ซูกิ่งก้านอวดดอกสีสวยสดอยู่ ริมทางเดิน  เห็ดป่าสีชมพูขาวกระจายตัวอยู่เป็นกลุ่มข้างโขดหิน แมลงป่าที่เกาะตามลำต้นดูดกินน้ำเลี้ยงเป็นอาหาร เสียงจั๊กจั่นเรไรที่หวีดร้องก้องไพรให้จังหวะและท่วงทำนองในยามออกก้าวเดิน หรือแม้แต่ทากตัวเล็กๆที่ชูคองอตัวสลอนรออาหารอันโอชะจากผู้รอนแรมผ่านมา 

      บนเส้นทางชีวิต..บางครั้งคนเราก็มุ่งแต่ที่จะไปให้ถึงเส้นชัยและเป้าหมายที่วางเอาใว้ โดยลืมใส่ใจให้เวลากับสิ่งที่อยู่รอบตัว นั่นคือคนที่อยู่รอบข้างเรา ไม่ว่าจะเป็นลูก เมีย ญาติมิตร หรือพ่อแม่ของเราเอง     
     "ความสำเร็จที่ได้มาจะมีค่าอันใด หากปราศจากการชื่นชมจากบุคคลเหล่านั้น"
     
     หลังจากเดินบุกป่าผ่าดงทากมาเกือบชั่วโมงกว่าๆ โสตประสาทของเราก็ได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วดังกังวานมาแต่ไกล แสดงว่าลำธารคงอยู่ไม่ไกลจากนี้มากนัก จุดหมายปลายทางที่พวกเราเฝ้าตามหามาครึ่งค่อนวันใกล้บรรลุถึงแล้ว ถึงตรงนี้สังเกตุเห็นทุกคนในคณะเปลี่ยนจากเดิน2เท้า มาเป็นเดิน3เท้ากันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ไกด์ที่นำทางเรามา 
     
     กลางหุบเขาข้างหน้า.. มองลงไปเห็นกระท่อมชาวกระเหรี่ยงปลูกโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางป่าลึก ตลอด 3ชั่วโมงที่เดินทางผ่านมา เพิ่งจะเจอกระท่อมหลังนี้เป็นหลังแรก  ทุ่งนากลางป่าใหญ่คงเพิ่งเสร็จจากการปักดำไปได้ไม่นาน สังเกตุได้จากต้นกล้าที่ยังสีเหลืองอยู่ 
               
     เลยกระท่อมชาวกระเหรี่ยงมาไม่ไกล พ้นแนวป่าออกมาก็เจอลำธารที่เป็นต้นน้ำแห่ง "อุ้มผางคี" จากจุดนี้เดินย้อนลำธารขึ้นไปไม่ไกล ก็ถึงจุดนัดพบเพื่อพักทานมื้อเที่ยงกัน และนั่งพักเอาแรงก่อนเริ่มต้นภารกิจล่องแก่งที่ทุกคนตั้งตารอ..
       เราพักทานมื้อเที่ยงกันข้างลำธาร เป็นอาหารกล่องง่ายๆที่ทางรีสอร์ทเตรียมมาให้ นับว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดอีกมื้อหนึ่งของชีวิต คงเพราะความเหนื่อยล้าและหิวโหยจากการเดินทางมาเกือบครึ่งวัน แม้แต่กระเพราไข่ดาวธรรมดาก็เลิศรสเลอค่ายิ่งกว่าหูฉลามบนภัตคารหรูกลางกรุง
    
       มองดูสายน้ำค่อนข้างเชี่ยวกราก จุดนี้เองเป็นจุดเริ่มแห่งการผจญภัยในสายน้ำของคณะเราในวันนี้ มองแล้วอดเสียวสยองไม่ได้ เพราะก่อนออกเดินทางมาที่นี่ ได้ดูข่าวจากทีวีตอนเช้าว่านี้มีไกด์พาลูกทัวร์มาล่องแพที่อุ้มผางเมื่อวานนี้ แล้วพัดตกน้ำไปยังหาศพไม่เจอ 
       อีกทั้งสองข้างฝั่งลำธารที่มองลงไปเต็มไปด้วยกิ่งไม้และโขดหินที่โผล่สลอนรอทักทายพวกเรา นี่ถ้าเกิดเรือพลิกคว่ำไป คงถูกกระแสน้ำพัดพาไปอีกไกลกว่าจะหาทางเข้าฝั่งได้ 
     
       น่าเสียดายว่าในช่วงที่เราล่องแก่ง ไม่ได้เก็บบันทึกภาพเอาใว้ เพราะกลัวกล้องโดนน้ำและถ้าเรือเกิดพลิกคว่ำก็อาจจะไปกระแทกโขดหินพังเสียหายได้ จึงไม่กล้าเสี่ยงเอาออกมาใช้ เลยฝากลูกหาบใส่ถุงกันน้ำใว้ให้  ไม่อย่างงั้นคงได้เห็นภาพความสนุก โหด และมัน ที่สุดในชีวิตการเดินทางของเรา เพราะเรือที่เรานั่งไปเกือบพลิกคว่ำอยู่หลายครั้ง บางคนเกือบพลัดตกน้ำลงไป บางคนไม่ทันระวังเพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวมากจึงถูกกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาทิ่มตำ ได้แผลกลับมาเหมือนโดนเสือข่วน มีบางช่วงที่เจอท่อนซุงขนาดใหญ่ล้มขวางลำธาร เรือข้ามไปไม่ได้ ก็ต้องลงจากเรือมาช่วยกันยกข้ามไปอย่างทุลักทุเล..   นี่ถ้าได้เห็นภาพการล่องแก่งตลอดเกือบชั่วโมงกว่าจากต้นน้ำ"อุ้มผางคี" ที่เราล่องลงมาถึงจุดพักแรมข้างล่างจะรู้ว่าสนุก และมันแค่ไหน ถ้ามีโอกาสยังอยากกลับไปลองอีกสักครั้ง ก่อนที่สังขารจะไม่เอื้ออำนวย
     
     ผ่านไปเกือบชั่วโมงครึ่งก็มาถึงจุดสิ้นสุดของการผจญภัยล่องแก่งแห่ง"อุ้มผาคี" ทุก คนต่างลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บางคนตัวเล็กเพียว ต้านทานกระแสน้ำที่เชียวกรากไม่ได้ ต้องให้เพื่อนๆและลูกหาบช่วยกันดึงเอาใว้ ก่อนจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปไกล 
     
    บ้างเดินย้อนขึ้นไปเหนือลำธาร ปล่อยตัวให้ลื่นไถลลอยมากับสายน้ำ เป็นที่สนุกสนานกันยิ่งนัก 
    
     หลังจากเล่นน้ำจนอ่อนล้าเป็นที่พอใจของทุกคนแล้ว  ก็ถึงเวลาต้องกล่าวคำอำลาหมู่บ้านกระเหรี่ยง "แปโดทะ" เพื่อเดินทางกลับสู่ที่พัก 
   
     ตลอดสองข้างทางยังคงเต็มไปด้วยสีเขียวขจีสดใส สบายสายตาเวลาเหลียวมองทุกครั้งไป มีสายลมเย็นๆพัดโชยมาจากทิวเขา เราบอกให้คนขับเปิดกระจกด้านข้างเพื่อรับลมธรรมชาติดีกว่าแอร์คอนดิชั่นจากคอนโชลหน้ารถ เพราะอากาศที่นี่บริสุทธิ์และเย็นสบายมากกว่าเครื่องปรับอากาศในรถเสียอีก  
    
      พอรถผ่าน เข้ามาใกล้เขตหมู่บ้าน  เห็นชาวกระเหรี่ยงหลายคนกำลังช่วยกันถอนต้นกล้าอย่างขมักเขม้นเพื่อนำไปปักดำ   มองแล้วอดคิดถึงวิถีชีวิตชาวนาแห่งที่ราบสูงไม่ได้  ทำให้หวนนึกถึงอดีตตัวเองในวัยเด็ก 
       ...เด็กตัวเล็กๆผมสั้นเกรียนในวัยประถมนั่งสบายบนหลังควายที่กำลังและเล็มหญ้าบนคันนา รายล้อมด้วยทุ่งนาสีเขียวสุดลูกหูลูกตา มองดูพี่ๆและแม่กำลังถอนต้นกล้าจากแปลงเพาะ เพื่อนำไปปักดำในแปลงใหม่ที่พ่อคราดไถเอาใว้รอแล้ว  ใกล้เถียงนามีกองฟางรูปทรงเจดีย์สีเหลืองอ่อนตั้งเด่นตระหง่าน ถัดไปข้างๆมองเห็นควันไฟจากเตาดินกำลังลอยละลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าไปรวมตัวกับเมฆก้อนใหญ่เบื้องบนที่จับกลุ่มรออยู่ก่อนแล้ว บ่งบอกว่าใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้วสินะ...  พอนึกมาถึงตอนนี้ลำไส้ในกระเพาะ ก็บีบรัดตัวส่งเสียงดังจ๊อกๆ สังสัยว่ากระเพราไก่ไข่ดาวคงย่อยหมดไป

        ขอจบเรื่อง "อุ้มผาง แผ่นดินลอยฟ้า ตอนที่2" ใว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ยังมีอุ้มผาง แผ่นดินลอยฟ้า ตอนที่3 ซึ่งเป็นตอนจบรอเพื่อนอยู่ ในวันสุดท้ายของการเดินทางบนแผ่นดินลอยฟ้านี้ เราจะพาทุกคนไปชมความสวยงามของเมืองอุ้มผางจากดอยหัวหมด อันเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองนี้ เรียกว่าถ้ามาอุ้มผางแล้วไม่ได้ขึ้นมาชมวิวที่ดอยหัวหมดถือว่ายังมาไม่ถึง  แล้วพบกันครับ..
 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น