วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุ้มผาง แผ่นดินลอยฟ้า ตอนที่3

     สายลมแห่งขุนเขาบนยอดดอย พัดหอบเอาละอองฝนปลิวฟลุ้งมาประทะใบหน้าของเราจนเปียกชุ่ม ผมขยับปีกหมวกลายพรางบนหัวให้หันไปทางด้านที่ลมพัดเขาหา พอได้ปิดบังใบหน้าจากละอองฝนลงได้บ้าง  แม้จะยังอยู่ในช่วงฤดูฝน แต่อุณหภูมิบนยอดดอยในยามเช้าบวกกับความเย็นยะเยียกจากสายฝนทำให้อากาศบนนี้ไม่ต่างกับเหมันตฤดูมากนัก  


     ทอดสายตามองไกลออกไปในหุบเขาเบื้องล่าง ไอหมอกสีขาวนวลกำลังเริงระบำพลิ้วไหวไปตามท่วงทำนองในยามที่สายลมพัดผ่าน บ้างม้วนตัวขึ้นจากยอดไม้อย่างเชื่องช้า เหมือนเด็กขี้เกียจลุกจากเตียงนอนอันแสนอบอุ่นในเช้าที่เหน็บหนาว



       เราเดินฝ่าสายฝนขึ้นมาถึงยอดดอยแห่งนี้ได้สักพัก ก็ได้เห็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของอุ้มผาง ณ  " ดอยหัวหมด"  บนดอยแห่งนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะต้องแวะขึ้นมาทัศนาหากได้มาถึงอุ้ม ผาง เพราะจุดชมวิวบนนี้สามารถมองเห็นแผ่นดินลอยฟ้าได้ไกลสุดลูกหูลูกตา และถ้าโชคดียังมีโอกาสได้เห็นทะเลหมอกสวยๆจากบนนี้ด้วย แต่โชคไม่ดีสำหรับเราเพราะสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้าทำให้เมฆหมอกกระจายตัว ไม่เกาะกลุ่มหนาแน่นให้เห็นเป็นทะเลหมอกอย่างที่ตั้งใจหวัง..


      เหตุที่บน "ดอยหัวหมด" แห่งนี้ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนอุ้มผางนั้น นอกจากจะเป็นดอยที่สูงสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ไกลสุดสายตาแล้ว ยังสามารถชมวิวจากบนนี้ได้ 360 องศา เรียกว่าเพียงยืนอยู่จุดเดียวแล้วเหลียวมองไปรอบๆตัว ก็สามารถทัศนาความสวยงามของอุ้มผางได้ทั่วทั้งเมือง..


        ข้างบนดอยหัวหมดนี้มีดอกไม้ป่าสีสวยหลายชนิดชูช่อรอนักท่องเที่ยวที่ปีนป่ายขึ้นมาให้ได้ทัศนากันอย่างเพลินอุราและคุ้มค่าแก่การเดินทางมาเยือน
       ดอกเทียนป่าสีชมพูสด อวดกลีบสวยเบ่งบานรับสายฝนที่โปรยปรายในยามเช้า ขึ้นเรียงรายอยู่ทั่วไปตามซอกโขดหินและพื้นดินบนยอดดอย บางช่วงแผ่ขยายคลุมพื้นที่กว้างออกไป มองดูเหมือนทุ่งสีชมพูประดับยอดดอยให้สวยงามน่ามองยิ่งนัก


     ไกลออกไป..มองเห็นทิวเขาหลายสิบลูกถูกจัดวางเรียงสลับซับซ้อนอย่างลงตัว แซมด้วยหมอกสีขาวนวลที่กำลังม้วนตัวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ ก่อนจะถูกสายลมพัดพาให้สลายไปในที่สุด  มองดูราวกับภาพจิตรกรรมจากจิตกรฝีมือเอกของโลก 


 อีกมุมหนึ่งจาก360 องศาบนยอดดอย


       ดอกเทียนป่า..ที่แผ่คลุมไปตามพื้นหญ้าและโขดหินเป็นภาพที่หามองได้ยากจากที่อื่น นอกจากบนดอยหัวหมดแห่งดินแดนลอยฟ้านี้..เท่านั้น


      เก็บภาพแห่งความทรงจำใว้เป็นที่ระลึกก่อนอำลาจากดอยหัวหมด ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาเยือนที่นี่






      ช่วงเวลาแห่งการเสพสุขของชีวิตคนเรา มันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ก่อนอำลาจากดอยหัวหมด ผมอดไม่ได้ที่จะยืนเพ่งมองลงไปในหุบลึกข้างล่าง คล้ายต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ต้องการหามันคืออะไร บางครั้งคนเราก็ยากที่จะทำความเข้าใจกับชีวิต แม้แต่ชีวิตของตัวเราเอง อดคิดไม่ได้ว่า เรามายืนอยู่บนนี้ได้อย่างไร ..ตลอดหลายวันที่ผ่านมาบนดินแดนแห่งนี้ มันเหมือนความฝันที่แจ่มชัดในมโนภาพของผม แต่ท้ายที่สุดผมก็ต้องตื่นจากฝันมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง โลกที่มีภาระหน้าที่และพันธนาการรอผมอยู่ แต่หากเลือกได้ กระท่อมกลางป่าที่เห็นอยู่เบื้องล่างนั้น น่าจะเป็นจุดหมายปลายฝันที่เราหวังอยากใช้ชีวิตบั้นปลายอันเงียบสงบในวิถีที่พอเพียง..


      เส้นทางกลับสู่ตัวอำเภออุ้มผาง.. แม้จะสายมากแล้วแต่ท้องฟ้ายังคงอึมครึมไม่ยอมเปิดให้แสงตะวันลอดผ่านลงมาสักที ถนนยังคงชื้นแฉะไปด้วยเม็ดฝนที่หล่นพรำตลอดทั้งคืนจนถึงเช้าวันนี้  หากไม่ชำนาญเส้นทางควรขับขี่ด้วยความระมัดระวังและใช้เกียร์ต่ำขณะลงเขาเพื่อความปลอดภัย


      ก่อนกลับเข้าที่พัก เราแวะร้านขายของที่ระลึกในเมือง เพื่อให้คณะทัวร์ได้เดินซ๊อปปิ้งจับจ่ายใช้สอย และซื้อของฝากสำหรับเพื่อนฝูงและคนรู้ใจ


      บ้านครูซัน   เป็นหนึ่งในร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว รวบรวมสินค้าพื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นใว้ให้นักท่องเที่ยวได้ เลือกสรรค์อย่างมากมาย

บรรยากาศบ้านครูซัน


บรรยากาศบ้านครูซัน
    
บรรยากาศบ้านครูซัน


บรรยากาศบ้านครูซัน


บรรยากาศบ้านครูซัน


บรรยากาศภายในร้าน บ้านครูซัน
 

     ถัดจากบ้านครูซัน มาไม่ไกล จะมีอีกร้านหนึ่งที่ไกด์เราแนะนำ ชีวาดอย  ราคาใกล้เคียงกันกับบ้านครูซัน  แต่ของมีให้เลือกน้อยกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อยืดที่ระลึกของอุ้มผางและผ้าคลุมไหล่พื้นเมือง 



      เสร็จจากเดินซ๊อปปิ้งเลือกซื้อของฝากกันเป็นที่พอใจแล้ว ก็ได้เวลากลับสู่ที่พัก "ภูดอยแคมป์ไซต์" เพื่อเก็บสัมภาระข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับ 


     

      สายฝนยังคงโปรยปรายตลอดทางที่เราออกจากอุ้มผาง แม้จะไม่ตกหนักมากนัก แต่ก็ทำให้การเดินทางต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น   ทิวทัศน์สองข้างทางยังคงสวยงามเสมอสำหรับดินแดนแห่งนี้  อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าคงเป็นแค่ภาพแห่งความทรงจำ..ที่จะไม่มีวันเลือนหายไปจากใจเรา


     
      ก่อนเข้าเขต อ.แม่สอดจะมองเห็นบ้านชั้นเดียวหลังคามุงหญ้าคากระจายกันอยุ่ตามเชิงเขานับร้อยๆหลัง ทีนี่เป็นศูนย์อพยพชาวกระเหรี่ยงที่หนีข้ามมาจากพม่านั่นเอง  
      เป็นที่น่าสลดใจว่าเมื่อเดือนมีนาคา 56 ที่ผ่านมา เกิดเหตุไฟไหม้ศูนย์อพยพชาวกะเหรี่ยง ที่บ้านแม่สุรินทร์ จ.แม่ฮ่องสอน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 62 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กและคนชรา ขณะที่ผู้บาดเจ็บนั้นสูงกว่า 100 คน บ้านเรือนเสียหายกว่า 200 หลังคาเรือน 


       ระหว่างทางก่อนถึงตัวอ.แม่สอด  มองเห็นป้ายบอกทางไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ อยู่เป็นระยะๆ เราเลยแวะเข้าไปชมความงามของน้ำตกแห่งนี้กัน เคยได้ยินชื่อมานานเพิ่งมีโอกาสได้ชมของจริงก็คราวนี้ล่ะ




       น้ำตกพาเจริญเป็นน้ำตกหินปูนที่สวยงาม ด้วยชั้นน้ำตกที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นเล็กชั้นน้อยจำนวนมาก และตั้งอยู่ริมทางหลวงไม่ไกลจากเมืองแม่สอด จึงเป็นจุดที่นิยมแวะมาท่องเที่ยวและพักผ่อน อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในอำเภอแม่สอด และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ประกอบไปด้วยป่าที่อุดมสมบูรณ์ พื้นที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร และยังเป็นต้นกำเนิดของห้วยแม่ละเมา มีเนื้อที่ประมาณ 534,375 ไร่ หรือ 855 ตารางกิโลเมตร 


  



       เราเดินชมความสวยงามของน้ำตกและถ่ายรูปกันเพลิน จนเวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้ตัว จวนจะ5โมงเย็นแล้ว ถ้าจะเข้าไปให้ถึงตัวอำเภอแม่สอดก็คงพลบค่ำพอดี อาจจะหาที่พักลำบากเพราะไม่ได้จองล่วงหน้าเอาใว้ เลยสอบถามที่พักจากเจ้าหน้าที่ประจำอุทยาน ปรากฎว่ายังมีบ้านพักว่างอยู่พอดี ขนาด3ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ราคาไม่ต้องพูดถึง แล้วแต่จะช่วยค่าน้ำค่าไฟให้กับทางอุทยาน ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่เวรในวันนั้นที่ให้ความอนุเคราะห์และยังมีน้ำใจกับผู้เดินทางผ่านอย่างพวกเรา แม้จะเลยเวลางานหลัง5โมงเย็นไปแล้ว ยังอุตส่าห์เรียกแม่บ้านกลับมาทำความสะอาดที่พักให้กับพวกเรา..รู้สึกประทับใจและไม่เคยลืมเลือนมาจนทุกวันนี้..

พระออกบิณฑบาตยามเช้าที่ อช.น้ำตกพาเจริญ


      ค่ำคืนที่แสนสุขท่ามกลางธรรมชาติแห่งผืนป่าในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญผ่านไปอย่างเงียบสงบ..   เรารีบตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ตัวจังหวัดตาก แวะทานมื้อเช้าในตัวจังหวัด และวางแพลนใว้ว่าจะแวะเที่ยวที่อุทยานประวัติศาสตร์ที่กำแพงเพชรเป็นจุดสุดท้าย ก่อนมุ่งหน้ากลับชลบุรี




      ตลอดเส้นทางที่มุ่งสู่ตัวจังหวัดตาก ยังคงชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนและไอหมอกจางๆ รถที่วิ่งสวนทางมาต่างเปิดไฟกระพริบบ้างไฟตัดหมอกบ้าง ทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ยิ่งในช่วงโค้งลงเขา ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว เพราะถนนที่ลื่นบวกกับทัศนวิสัยในการมองเห็นเป็นอุปสรรค์ในการขับขี่ยิ่งนัก ทำให้การเดินทางล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนที่วางใว้



      จากแม่สอดถึงตัวจังหวัดตากระยะทางกว่า90กิโลเมตร  ขับผ่านมาได้เกือบครึ่งทางเราก็เจอกับตลาดนัดชาวดอยอยู่ข้างทาง คนที่นี่เขาเรียกว่า ตลาดมูเซอ เห็นรถหลายคันที่ขับตามกันมาแวะจอดข้างทาง เราเลยตีไฟเลี้ยงซ้ายหักพวงมาลัยเลี้ยวตามเขาไปด้วย  อยากรู้ว่าตลาดกลางป่าของชาวกระเหรี่ยงที่นี่เขาขายอะไรกันบ้าง


  


      สินค้าของ ตลาดมูเซอ  ส่วนใหญ่จะเป็นพืชผักเมืองหนาวของชาวกระเหรี่ยงมูเซอที่ปลูกกันในไร่แถวๆนี้ แต่ละอย่างก็น่าซื้อทั้งนั้น ของสดและราคาถูก บางร้านก็นำของจากที่อื่นมาวางขายปนๆกัน ใครมาซื้อก็อย่าคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือมูเซอ อาหารสำเร็จรูปพื้นเมืองเหนือ พวกน้ำพริกหนุ่ม ใส้อั่ว ก็มีขาย ปิ้งย่างกันสดๆ ส่งกลิ่นตลบอบอวล ใครผ่านไปผ่านมาแถวนี้แวะซื้อได้ไม่ผิดหวังครับ 




 
     เห็นหน้าตาสีสันพืชผักผลไม้ของตลาดที่นี่แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่ชลบุรี เพราะผลไม้หลายอย่างหาซื้อแถวเมืองชลไม่มี อย่างเช่า สาลี่ดอย กับลูกอะโวคาโด้ ซึ่งแรกๆก็เรียกชื่อเจ้าลูกนี้ไม่เคยถูกสักที มักจะออกเสียงเป็นลูกอะโกโก้เสียทุกครั้งไป สงสัยคงอยู่ใกล้พัทยามานาน มันเลยคุ้นชื่อนี้อ่ะ..(อิอิ)



       ขออำลาทริปอุ้มผาง ตอนสุดท้าย ด้วยรูปกระเหรี่ยงแม่ลูกอ่อนและพ่อลูกอ่อนคู่นี้..บังเอิญเหลี่ยว ไปเห็นพ่อหนุ่มคนนี้กำลังอุ้มลูกน้อยยืนอยู่หน้าตลาดมูเซอ เป็นภาพที่ไม่ค่อยคุ้นตามากนักสำหรับคนเดินทางผ่านอย่างเรา คนหนุ่มสาวที่นี่คงแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะสังเกตุเห็นหลายคนยังหน้าตาละอ่อนอยู่เลย แต่กลับอุ้มลูกน้อยออกมาเดินตลาดจับจ่ายใช้สอยหรือแม้แต่แม้แต่ค้าสาวแรกรุ่นบางคนก็มีลูกน้อยติดตามมาด้วย พวกเขาจะใช้ผ้าขาวม้าหุ้มรอบตัวเด็กแล้วคล้อยเอาใว้กับคอตัวเอง ดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแปลกตาน่ามองดี..

      เวลายังคงเดินของมันเรื่อยไปอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย แต่การเดินทางของเราในทริปนี้กำลังจะสิ้นสุดลง แม้อยากหยุดวันเวลาแห่งความสุขนี้เอาใว้ แต่ก็เป็นได้แค่เพียงความฝัน อีกไม่นานเราก็ต้องกลับไปเผชิญชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่วุ่นวายสับสน กับภาระหน้าที่ทางสังคมที่รอเราอยู่  ผมสัญญากับตัวเองใว้ว่าจะต้องหาเวลาเติมพลังให้กับชีวิตทุกครั้งเมื่อมีโอกาส อาจเป็นมุมไหนสักแห่งบนโลกใบนี้  แล้วจะนำเรื่องราวมาเล่าสู่เพื่อนๆฟังอีกนะครับ..
 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น